Sunday, July 07, 2013
Shopping@Greenhill, Manila
กำหนดการของวันนี้จริงๆ ต้องไปร่วม Sport Fest ของภาค IE แต่นัทสิมาหาสนามกีฬาไม่เจอ แม้จะพยายามเดินหาหลายรอบแล้วก็ตาม
สรุปคือแห้วครับ ได้แต่เดินถือกล้องถ่ายรูปไปถ่ายตามที่ต่างๆ ในมหาวิทยาลัย แล้วตอนบ่ายก็ไป Shopping ที่ Greenhill Shopping mall
นัทสิมาไม่ได้อะไรจากการ shopping มากไปกว่าหนังสือและ CD (ตามระเบียบ)
Textbook ที่นี่ถูกกว่าในไทยเป็นบางรายการ เนื่องจากมหาวิทยาลัยในฟิลิปปินส์ใช้ Textbook เรียนกัน 100% สำนักพิมพ์จึงยอมผลิตเวอร์ชั่น Low Price Edition ออกมาขาย สนนราคาจะถูกกว่า International Student Edition ที่บ้านเราใช้ประมาณ 20-30%
นัทสิมาแวะร้านหนังสือสองร้าน
ร้านแรกเหมือนเป็นหนังสือมือสองแต่สภาพยังดีอยู่มาก นัทสิมาได้หนังสือ Kaizen ของ Masaaki Imai มาหนึ่งเล่ม สนนราคา 130 peso
ร้านที่สองเป็น chainstore ชื่อ Goodwill Bookstore มีตำราเรียนขายเยอะแยะ ที่นี่นัทสิมาได้ The Management of Human Resources in the Asia Pacific Region และ Practical Guide to Thesis and Dissertation Writing มาอีกหนึ่งเล่ม สนนราคารวม 310 peso
นอกจากนี้นัทสิมายังได้ CD จากร้าน AstroVision มาหนึ่งแพ็คเป็นอัลบั้มรวมเพลงประกอบภาพยนตร์และละครโดย Erik Santos ราคา 250 peso
เรื่อง amazing คือ ร้านขาย CD เค้าไม่เปิดเพลงนะครับ แต่ใช้วิธีเปิด karaoke แล้วพนักงานมายืนร้องแทน แต่เนื่องจากฟิลิปปินส์เป็นมหาอำนาจด้านการร้องเพลงอยู่แล้ว จึงทำให้แม้แต่คนขาย CD ก็สามารถร้องเพลงได้เพราะมากๆ
อีกเรื่องคือ มาริโอ เมาเร่อดังมากที่นี่ หนังไทยทุกเรื่องที่มาริโอเล่นมีขายที่ร้านนี้หมด!
จบการรายงานการ Shopping แต่เพียงเท่านี้
Labels: Manila, Philippines, Shopping, ช้อปปิ้ง, ฟิลิปปินส์, มหาวิทยาลัยซานโตโทมัส
Friday, July 05, 2013
ทัวร์เมืองมะนิลา
"I die without seeing the dawn brighten over my native land!
You, who have it to see, welcome it--and forget not those who have fallen during the night!"ข้าพเจ้าตายไป โดยมิได้เห็นอรุณรุ่งแห่งมาตุภูมิ
ขอท่านผู้ได้เห็น จงยินดีกับเวลานั้น และอย่าได้ลืมผู้จากไปในรัตติกาล
Labels: Fort Santiago, Intramuros, Jose Rizal, Philippines, ป้อมซานติเอโก, ฟิลิปปินส์, อินทามูโรส, โฮเซ่ ริซัล
Thursday, July 04, 2013
ความสนุกสนานในห้องเรียนฟิลิปปินส์
โอเค
หายไปสองสามวัน เนื่องจากปรับตัวปรับใจกับสถานที่และภารกิจที่ได้รับจากมหาวิทยาลัยในฟิลิปปินส์
อันที่จริงตอนเริ่มต้นนัทสิมามี topics ในใจเรียบร้อยแล้วว่าจะมาสอนอะไร มาทำวิจัยด้วยอะไร จริงๆ คืออยากทำ Collaborative Research เป็นหลัก (เรื่องสอนไม่ค่อยมั่นใจว่าจะสอนเด็กเค้ารู้เรื่อง)
ปรากฏว่าอาจารย์ที่นี่เป็นอาจารย์เน้นสอน คนนึงสอนประมาณ 18 คาบต่อสัปดาห์อีกทั้งยังมีภาระอื่นๆ อีก ดูค่อนข้างวุ่นวายตลอดเวลา วิจงวิัจัยไม่ค่อยได้ทำ หัวข้อที่เราเสนอไปก็ไม่ถูกใจเค้า (จริงๆ ก็ไม่ค่อยถูกใจเราหรอก แต่พยายามหาเรื่องที่น่าจะสามารถทำได้ในเวลาจำกัด)
ทีนี้พอ Demand ไม่ค่อยตรงกับ Supply เราก็เลยถูกโยนไปมาระหว่าง IE Department กับ Office of Quality Management ซึ่งรับผิดชอบงานด้าน ISO9001 ของมหาวิทยาลัย
วันแรกก็เลยไ่ม่ค่อยมีอะไรทำ อาจารย์สองท่าน (ที่ประจำอยู่ที่ OPQM) เห็นว่าเราันั่งว่างๆ ยังเอา term paper ของเด็กมาให้เราช่วยตรวจ
อืมม นะ นัทสิมาไม่ชอบตรวจการบ้านเป็นชีวิตจิตใจซะด้วยสิ
วันแรกก็เลยเซ็งๆ ไปหน่อยนึง
วันที่สองเริ่มดีขึ้นเพราะมีอาจารย์อีกท่านนึง (ชื่อ Charles) กลับมาจากพักร้อน นัทสิมาเลย hard sale งานวิจัยเต็มที่ ตัดสินใจเปลี่ยน topic ไปทำเรื่อง relationship between cultural, safety attitude and productivity แทน ซึ่งดูแล้วเหมาะกับอาจารย์ท่านนี้ เนื่องจากท่านเพิ่งลาออกจากการเป็น Factory Manager ของโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าแห่งหนึ่งมา
พูดถึงเรื่องนี้ก็นึกขึ้นได้ว่า่ส่วนมากอาจารย์ที่นี่เน้น "เก๋า"
แต่ละคนมีประสบการณ์ในสายงานที่ตนเองรับผิดชอบมาไม่น้อยกว่า 5-10 ปี
บางคนเคยอยู่ Intel Philippines มามากกว่า 20 ปี บางคนก็ทำงาน Texas Instruments ฯลฯ
เอาเป็นว่าไม่มีใครเรียนจบตรี-โทแล้วมาเป็นอาจารย์เลยสักคน
เด็ดสุดก็ Engr.Charles นี่แหละ (ที่นี่เค้าให้เกียรติวิศวกร โดยเรียกคำนำหน้านามว่า "วิศวกร...." ตลอด) เป็นอาจารย์มา 14 ปี แล้วลาออกเพื่อไปทำงานใน real industry เพราะอยาก update องค์ความรู้ของตนเอง ก่อนจะกลับมาสอนอีกครั้ง
โอเค กลับมาเรื่องของเราต่อ นัทสิมาก็โน้มน้าวสารพัดจน Engr. Charles ยอมตกปากรับคำว่าจะเป็น co-researcher ให้ แต่การทำวิจัยในโรงงานจริงๆ ของที่นี่ยากมาก ต้องทำหนังสือขอความอนุเคราะห์ผ่านขั้นตอนมากมาย แต่เค้าก็รับปากว่าจะพยายามเริ่มต้นไว้ให้ได้ในระดับหนึ่ง แต่อาจจะไม่เสร็จในระหว่างที่นัทสิมาอยู่
It's Acceptable!
ว่าแล้วนัทสิมาก็ list งานเขียนที่น่าจะเกิดขึ้นที่ีนี่ได้ออกมาประมาณ 7 เรื่อง โปรดเข้าใจว่า It' just a plan ซึ่งอาจจะเสร็จหรือไม่เสร็จ แต่อย่างน้อยมี milestone ไว้ก็ไม่เสียหาย
ตัดภาพกลับมาว่าด้วยเรื่องห้องเรียนอันแสนสนุกสนานในฟิลิปปินส์กันต่อ นัทสิมาได้มีโอกาสเข้าสอนใน 1 ห้องเรียนของนักศึกษาปี 5 สาขาวิศวกรรมอุตสาหการ (สอน Lean Simulation Workshop) และบรรยายพิเศษอีกหนึ่งครั้งสำหรับนักศึกษาสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ
บรรยากาศต่างกัน แต่โดยรวมแล้วนักศึกษาฟิลิปปินส์ active กว่านักศึกษาไทย และที่สำคัญกล้่าแสดงออกมากกว่าด้วย
หลังการบรรยายพิเศษสำหรับนักศึกษา IT ซึ่งนัทสิมาบรรยายเกี่ยวกับกรอบมาตรฐานคุณวฺุฒิของสาขาวิชาคอมพิวเตอร์ในประเทศไทยนิดนึง แล้วตามด้วยงานวิจัยด้าน algorithm design for logistics optimization อีกสองงาน เนื่องจากนักศึกษาที่เข้าฟังส่วนมาเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 เด็กๆ จึงไม่ค่อยเข้าใจเนื้อหา
ไม่สิ ต้องบอกว่าไม่เข้าใจเลยมากกว่า
พอจบการบรรยาย ก็เลยมีตัวแทนนักศึกษาคนนึงขึ้นมากล่าวประมาณว่าพวกเค้าไม่ได้อะไรจากการฟังบรรยายพิเศษครั้งนี้เลย อาจารย์ควรจะไปบรรยายให้กันเองฟังมากกว่ามาอธิบายอะไรก็ไม่รู้ให้พวกผมฟัง!!
นัทสิมาอึ้ง...แต่อาจารย์เค้าไม่อึ้งแฮะ (ท่าทางเจอบ่อย)
ก็พยายามบอกเด็กๆ ไปว่าวันนี้คุณอาจไม่รู้เรื่องหรอก แต่วันนึงมันอาจเป็นประโยชน์ต่อคุณ โดยเฉพาะเมื่อคุณเรียนในระดับสูงๆ ขึ้นไป
นอกจากเป็นผู้บรรยายแล้ว นัทสิมาก็มีโอกาสไป sit in ในคลาสวิชา Engineering Management และวิชา Industrial Quality Control ซึ่งสนุกสนานมากทั้งสองคลาส เนื่องจากอาจารย์เค้าสอนเก่งกันทุกคน (บอกแล้วไงว่าที่นี่เน้นสอน)
สิ่งที่พบจากทั้งสองคลาสคือเด็กๆ ที่นี่จะถูกคาดหวังให้ "อ่านมาก่อนเข้าเรียน" ถ้าไม่อ่านมาก็จะถูกถามว่า "ไม่อ่านมาใช่ไหม?" ตลอดเวลา
และเนื่องจากอาจารย์มีประสบการณ์นอกห้องเรียน ก็เลยจะมี tips เล็กๆ้น้อยๆ จากประสบการณ์จริงมาสอดแทรกเป็นระยะ
กล่าวโดยสรุปคือ ทั้งการเป็นผู้บรรยายและเป็นผู้รับฟังการบรรยายล้วนแล้วแต่เป็นประสบการณ์ที่มีค่ายิ่ง
จบการรายงานแต่เพียงเท่านี้!
Labels: Philippines, University of Santo Tomas, Visiting Scholar, ฟิลิปปินส์, มหาวิทยาลัยซานโตโทมัส
Monday, July 01, 2013
โอ้ชีวิต Visiting Scholar (ตอน 1)
และด้วยเหตุผลร้อยแปดพันประการ
นัทสิมาจึงได้รับคัดเลืิอกให้เป็นตัวแทนคณะให้ไปแลกเปลี่ยน ณ University of Santo Tomas ประเทศฟิลิปปินส์
Wikipedia - สารานุกรมเสรีได้อธิบายคำว่า Visiting Scholar ไว้ดังนี้
In the world of academia, a visiting scholar or visiting academic is a scholar from an institution who visits a host university, where he or she is projected to teach (visiting professor), lecture (visiting lecturer), or perform research (visiting researcher or visiting research associate) on a topic the visitor is valued for. The position is often not salaried and typically for one year,though it can be extended.อธิบายความโดยรวมๆ ได้ว่าในแวดวงวิชาการนั้น "อาจารย์แลกเปลี่ยน" หรือ "นักวิชาการแลกเปลี่ยน" คืออาจารย์หรือนักวิชาการจากต่างสถาบันที่มาอยู่ในสถาบันที่ร้บแลกเปลี่ยน (เรียกว่า "โฮสต์") ซึ่งโดยมากก็จะมาสอนหรือไม่ก็มาบรรยาย หรือบางทีก็มาทำวิจัยร่วมในหัวข้อที่ตนเองมีความชำนาญ
วิกิฯ ห้อยท้ายว่าโดยปกติแล้วตำแหน่งนี้ไม่มีเงินเดือนย่ะ และเ้ค้าอยู่กันประมาณหนึ่งปีขึ้นไป ย้ำ! ขึ้นไป
หึ หึ ไม่รู้แหละ มา 15 วันก็จะเรียกตัวเองว่าเป็น Visiting Scholar ล่ะเว้ยเฮ้ย
---------------------------------------------------------------------------------
อย่างไรก็ตาม นัทสิมาและคณาจารย์จากคณะต่างๆ รวม 6 ชีวิตก็ได้มาใช้ชีวิตอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ีที่สุดแห่งในหนึ่งของโลก (เพิ่งฉลองครบรอบ 400 ปีไปเมือปี 2011 นี่เอง) ท่ามกลางบรรยากาศของเมืองมหาวิทยาลัยที่คึกคักและมีพลวัตสูงจนสัมผัสได้
สูดลมหายใจเข้าลึกๆ
นับจากนี้ไปอีก 15 วัน มาติดตามการรายงานสดจากขอบสนามถึงชีวิตความเป็นอยู่ของอาจารย์แลกเปลี่ยนตัวเล็กๆ (?) คนหนึ่ง ว่าจะสุขหรือจะทุกข์ จะเหงาหรือจะเริงร่า จะเอ๋อหรือจะเจิดจรัส
อย่ารอคอย
แต่จงติดตามด้วยใจระึทึก!
Labels: Philippines, Visiting Scholar, ฟิลิปปินส์, มหาวิทยาลัยซานโตโทมัส
Sunday, August 28, 2011
Stay Hungry (to read)
Labels: stay hungry, การอ่าน, หนังสือ
Monday, January 03, 2011
สรุปผลการดำเนินชีวิตประจำปี 2553
1. เรียนจบ PhD ให้ได้ภายในเดือนมีนาคม 2553
2. ได้รับทุนไปทำวิจัยที่ Austria ระหว่างเดือนเมษายน - พฤษภาคม 2553
3. ได้รับทุนวิจัยรวมกันตลอดทั้งปีไม่น้อยกว่า 1,000,000 บาท
4. มีผลงานตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติไม่น้อยกว่า 2 เรื่องภายในเดือนมิถุนายน 2553
5. ได้รับการตอบรับให้ไปนำเสนอผลงานวิชาการที่เมืองปูซาน ประเทศเกาหลี
6. จดสิทธิบัตร/อนุสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ของตัวเองให้ได้ 1 รายการขึ้นไป
7. มีตำราและเอกสารประกอบการสอนฉบับสมบูรณ์อย่างละ 1 เล่ม
8. มีชั่วโมงบริการวิชาการชุมชนมากกว่า 365 ชั่วโมง
เป้าหมายของ Lab (หมายเหตุ- นัทสิมารักษาการ Lab Manager ของมหาวิทยาลัยอยู่)
1. มีรายรับจากการให้บริการตรวจวิเคราะห์มากกว่า 500,000 บาทภายในเดือนตุลาคม 2553
2. ลดเวลาในการตรวจวิเคราะห์ทุกไอเท็มรวมถึงการทำรายงานผลการตรวจให้แล้วเสร็จภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันที่รับชิ้นงานตัวอย่าง
เป้าหมายด้านคุณภาพชีวิต
1. ขูดหินปูน/ตรวจสุขภาพฟันให้ได้ปีละ 2 ครั้ง --ไม่ได้ขูดหินปูนเลย
2.ผลการตรวจสุขภาพประจำปีอยู่ในเกณฑ์ปกติทุกรายการ --ไม่ได้ตรวจสุขภาพเลย
3. กลับบ้านไม่เกิน 18:00 น. ไม่น้อยกว่า 20 วันต่อเดือน --คิดว่าหวุดหวิดเกือบผ่าน :P
"เวลาตีลูก ต้องเล็งไปที่ดวงจันทร์ เพราะแม้ลูกจะไปไม่ถึงดวงจันทร์ อย่างน้อย...มันก็ตกอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว"
Thursday, February 25, 2010
Behavioral Economics เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม
Saturday, January 09, 2010
10 แนวคิดธุรกิจมาแรงในปี 2010 (ตอนที่ 1)



Labels: ธุรกิจมาแรง, นวัตกรรม, แนวโน้มธุรกิจ, วิสาหกิจใหม่
Monday, January 04, 2010
Patent for Microorganism: สิทธิบัตรสำหรับจุลชีพ
Sunday, January 03, 2010
Now reading: ตะวันออก-ตะวันตก...ใครสร้างโลกสมัยใหม่

Saturday, January 02, 2010
สวัสดีปีใหม่ และเป้าหมายประจำปี
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านและครอบครัวคงประสบแต่ความสุขสวัสดิ์ตลอดปี 2553 นี้
------------------------------------------------------------------
เมื่อต้นปีก่อนนัทสิมาได้สรุปผลการดำเนินชีวิตประจำปี 2551 เอาไว้ ซึ่งผลเป็นไปอย่างไม่น่าพอใจ (บรรลุเป้าหมายเพียง 23.8% จากทั้งหมด) ทำเอาท้อใจและไม่อยากจะตั้งเป้าอะไรให้กับชีวิตมากมายนัก
พอมานั่งนึกย้อนดูก็พบว่าปีที่ผ่านมาเปรียบเสมือนปีแห่งการไม่มีจุดหมาย ถ้ายกเอาคำท่านปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์มาก็ต้องบอกว่าปีที่แล้วนัทสิมาใช้ชีวิตคล้ายๆ จะเป็น "สวะลอยน้ำ" (อูยย..แรงนะเนี่ย)
ปีนี้เลยเอาใหม่...ตั้งเป้าหมายเอาไว้แต่ไม่มากมายและบ้าพลังเฉกเช่นในอดีต ให้ความสำคัญกับการมีเป้าหมายในชีวิต แต่มิใช่การมุ่งแต่จะบรรลุเป้าหมายโดยละเลยสุนทรียะแห่งการใช้ชีวิต
ดังนั้น เป้าหมายในปี 2553 จึงเน้นในด้านงานวิชาการเป็นสำคัญ ส่วนประกอบอื่นๆ ในชีวิตนั้นก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ
-----------------------------------------------------------------
เป้าหมายด้านวิชาการ ประจำปี 2553
1. เรียนจบ PhD ให้ได้ภายในเดือนมีนาคม 2553
2. ได้รับทุนไปทำวิจัยที่ Austria ระหว่างเดือนเมษายน - พฤษภาคม 2553
3. ได้รับทุนวิจัยรวมกันตลอดทั้งปีไม่น้อยกว่า 1,000,000 บาท
4. มีผลงานตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติไม่น้อยกว่า 2 เรื่องภายในเดือนมิถุนายน 2553
5. ได้รับการตอบรับให้ไปนำเสนอผลงานวิชาการที่เมืองปูซาน ประเทศเกาหลี
6. จดสิทธิบัตร/อนุสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ของตัวเองให้ได้ 1 รายการขึ้นไป
7. มีตำราและเอกสารประกอบการสอนฉบับสมบูรณ์อย่างละ 1 เล่ม
8. มีชั่วโมงบริการวิชาการชุมชนมากกว่า 365 ชั่วโมง
เป้าหมายของ Lab (หมายเหตุ- นัทสิมารักษาการ Lab Manager ของมหาวิทยาลัยอยู่)
1. มีรายรับจากการให้บริการตรวจวิเคราะห์มากกว่า 500,000 บาทภายในเดือนตุลาคม 2553
2. ลดเวลาในการตรวจวิเคราะห์ทุกไอเท็มรวมถึงการทำรายงานผลการตรวจให้แล้วเสร็จภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันที่รับชิ้นงานตัวอย่าง
เป้าหมายด้านคุณภาพชีวิต
1. ขูดหินปูน/ตรวจสุขภาพฟันให้ได้ปีละ 2 ครั้ง
2.ผลการตรวจสุขภาพประจำปีอยู่ในเกณฑ์ปกติทุกรายการ
3. กลับบ้านไม่เกิน 18:00 น. ไม่น้อยกว่า 20 วันต่อเดือน
-------------------------------------------------
ในการนี้จะมีการติดตามความคืบหน้าของการดำเนินชีวิตในทุกไตรมาส เพื่อดูแนวโน้มและความเป็นไปได้ในการบรรลุเป้าหมายของชีวิต
ปล. อ่าน blog ของพี่บิ๊กบุญ แห่งสำนักพิมพ์ a book ..พี่แกบอกว่าการอัพบล็อกทุกวันเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยาก เพียงแต่ต้องตั้ง theme และรักษาพลังพอสมควร (ไม่ปล่อยพลังซะหมดในการอัพคราวเดียว) ปีหน้าจะพยายามอัพบล็อกให้ได้สัปดาห์ละครั้งนะครับ
Labels: เป้าหมายชีวิต
Thursday, October 01, 2009
Reenergize "จุดไฟ" ในองค์กร
ที่ผมหายหน้าไปนานจากบล็อกนี้ ไม่ใช่ด้วยปัจจัยอื่นใดนอกเสียจากงานประจำ (และไม่ประจำ) มันรุมเร้าเสียจนปลีกตัวออกมาเขียนไม่ได้
หวังว่ามิตรรักแฟนบล็อกจะเข้าใจและให้อภัยชายผู้ตูดหมึกอย่างแรงคนนี้ด้วย
วันนี้ตื่นแต่เช้าครับ เลยมีโอกาสได้อ่านเรื่อง Reenergize ขององค์กรระดับโลก
คำว่า Reenergize ถ้าให้แปลแบบ "คูลๆ" หน่อยก็น่าจะเป็น "ชาร์จพลัง", "เติมพลัง" , "จุดไฟ" อะไรประมาณนี้
คืองี้ครับ..เราเองคงทราบกันดีว่าโลกปัจจุบัน โดยเฉพาะในประเทศอุตสาหกรรมจะมีอัตราการเกิดที่ลดต่ำลง นั่นคือโครงสร้างประชากรจะเป็นรูปพีระมิดหัวกลับ กล่าวคือ เด็ก,วัยรุ่น และ หนุ่มสาววัยทำงานจะมีจำนวนที่น้อยกว่าผู้สูงอายุ
แวดวงวิจัยหลายๆ ที่เรียกสังคมแบบนี้ว่า "สังคม ส.ว." ซึ่งหมายถึงสังคมที่แต่ผู้ "สูงวัย" อยู่เต็มไปหมด
ในองค์กรต่างๆ ก็เช่นกันครับ โครงสร้างของทรัพยากรบุคคลสำหรับหน่วยงานที่เปิดดำเนินการมานานจนเติบใหญ่และมั่นคงแล้วก็จะมีกลุ่มบุคคลที่เรียกว่า "Senior team" อยู่ประจำองค์กรนั้นๆ
Senior team ส่วนใหญ่ก็จะเป็นประเภท "เก๋า" แต่ขาดความสด
ผนวกด้วยประสบการณ์ในการทำงานอันยาวนานก็จะทำให้ "อ่านเกมออก" และออกจะเป็นพวกที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง
ดังนั้นการจูงใจใดๆ เพื่อที่ให้กลุ่มคนเหล่านี้เกิดความคิดสร้างสรรค์ หรือ ลุกขึ้นมาทำอะไรใหม่ๆ ก็จะเป็นเรื่องยาก
ด้วยเหตุนี้คำว่า Reenergize จึงเกิดขึ้นเพื่อ "จุดไฟ" ในกายให้ลุกโชนขึ้นมาราวกับเป็นวัยหนุ่มสาวอีกครั้ง
แล้วเราจะ Reenergize กันด้วยวิธีไหน? องค์กรที่ทำแล้วได้ผลเป็นไง?
โปรดติดตามตอนต่อไปครับ
Tuesday, December 30, 2008
สรุปผลการดำเนินชีวิตประจำปี 2551
ในอีกมุมหนึ่ง ปีนี้ก็เป็นปีที่ครอบครัวของนัทสิมามีความครบถ้วนมากขึ้น เนื่องจากมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนเมื่อวันที่ 11 ธ.ค. ที่ผ่านมานี่เอง เป็นน้องผู้หญิงหน้าตาน่าชัง...นัทสิมาตั้งชื่อว่าน้องอัณณาซึ่งแปลว่า แม่น้ำ
เรื่องตั้งชื่อลูกนี่ก็สนุก...คอนเซปท์หลักในการตั้งชื่อน้องอัณณาคือการมองว่าโลกในอนาคตของเค้าจะเป็น Borderless มากขึ้น ดังนั้นชื่อก็ควรจะเป็นชื่อที่ "อ่านได้" อย่างสากล
สรุปก็มาลงที่ชื่อ Ana
พอมีลูกปั๊บ...ไอ้เจ้า "สิ่งที่ไม่เคยทำก็ได้ทำ" ก็เพิ่มขึ้นมาอีกสองสามประการ เช่น การเปลี่ยนผ้าอ้อม การอาบน้ำเด็กอ่อน ฯลฯ
ส่วนเรื่อง Ph.D. ที่กำลังเรียนๆ อยู่นั้น ผ่านมาครึ่งทาง (3 เทอม) ปริมาณงานอยู่ในระดับดี แต่ความก้าวหน้ายังน้อยไป (ในความคิดของนัทสิมา) เทอมนี้ตั้งใจว่าต้อง design เครื่องมือในการแก้ปัญหาแบบใหม่ให้ได้เพื่อจะได้ก้าวสู่กระบวนการจบการศึกษาอย่างเต็มภาคภูมิในเทอมถัดๆ ไป
งานในตำแหน่งอาจารย์ก็ไปได้ดี มหาวิทยาลัยที่นัทสิมาทำงานอยู่เริ่มจับได้แล้วนัทสิมาทำอะไรได้มากกว่าสอนหนังสือไปวันๆ ช่วงกลางปีเลยได้ไปช่วยงานศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจอยู่จนถึงปัจจุบันและกำลังจะเลิกทำแล้วเนื่องจากตอนไปทำได้ออกตัวไว้ว่าจะอยู่ช่วยแค่ 3 เดือน กอรปกับงานไม่ค่อยก้าวหน้าเพราะเพื่อนร่วมงานอีกท่านซึ่งมีบทบาทเป็นหัวหน้าของนัทสิมานั้นเป็นบุคคลประเภท Last minute man
แหล่งข่าวแจ้งว่า หากนัทสิมาออกจากงานตรงนั้นแล้วมหาวิทยาลัยก็ยังมีงานสำคัญที่อยากให้ไปช่วยอีก!
พูดตามตรง ช่วงนี้นัทสิมายังไม่ค่อยอยากทำงานประเภท Admin เท่าไหร่ ยังรู้สึกว่า Passion ด้านวิชาการยังเยอะอยู่ อยากทำวิจัยเยอะๆ อยากเขียนตำรา อยากพัฒนา Courseware ของตัวเองให้ดีๆ
----------------------------------------------------------------------------------------------
สรุปผลการดำเนินชีวิตประจำปี 2551 (ตามตัวชี้วัด)
1) เป้าหมายทางวิชาการ
1.1) มีผลงานที่ได้รับคัดเลือกให้นำเสนอในงานประชุมวิชาการนานาชาติ อย่างน้อย 2 เรื่อง
ปีนี้มีงานที่ได้รับคัดเลือก 4 ชิ้น เป็นงานของตัวเอง 3 ชิ้น (IML=1,UBRUIC=1,ICLS=1) และเป็นผู้วิจัยร่วม(ชื่อที่สอง) 1 เรื่อง(ICLS=1)
1.2) มีผลงานที่ได้รับการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารวิชาการนานาชาติ 1 เรื่อง
ไม่มี
1.3) มีผลงานที่ได้รับการพิจารณาให้ตีพิมพ์หรือนำเสนอในระดับประเทศ 2 เรื่อง
มีงานนำเสนอในประเทศ 1 เรื่อง (Triz+Pokayoke for Thai Silk Production) และมีงานส่งตีพิมพ์วารสารวิจัยม.ขอนแก่น 1 เรื่อง (รอการตอบรับครั้งสุดท้ายหลังการปรับแก้ตามข้อเสนอของผู้ทรงคุณวุฒิ)
1.4) มีเอกสารประกอบการสอน / ตำรา อย่างน้อย 2 เล่ม
ไม่มี
1.5) ได้รับทุนวิจัย / ทุนการศึกษา / ทุนอื่นๆ มูลค่ารวมไม่น้อยกว่า 200,000 บาท
ได้รับทุนวิจัยจากสกว.ตามโครงการ ABCPUS/MAG เป็นเงิน 50,000 บาท,ทุนวิจัยจากสกว.ตามโครงการ IRPUS เป็นเงิน 150,000 บาท และทุนวิจัยจากวช. อีก 150,000 บาท รวมเป็นเงิน 350,000 บาท
สรุป ได้ตามเป้าหมาย 3 ใน 5 ข้อ
2) เป้าหมายด้าน Social Responsibility
2.1) เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการ/คณะทำงานระดับจังหวัด อย่างน้อย 2 คณะทำงาน
เป็นอยู่เพียง 1 คณะทำงานที่เกี่ยวกับการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน
2.2) มีภาระงานที่เกี่ยวข้องกับการบริการวิชาการชุมชน ไม่น้อยกว่า 400 ชั่วโมง
เนื่องจากได้บูรณาการงานวิจัย/งานสอนเข้ากับงานบริการวิชาการชุมชนอยู่แล้ว ดังนั้นชั่วโมงบริการวิชาการชุมชนเลยได้มากกว่า 400 ชั่วโมง (เป็นอาจารย์ที่มีชั่วโมงบริการวิชาการชุมชนมากที่สุดคนหนึ่งในมหาวิทยาลัยเลยทีเดียว)
2.3) ขออนุมัติเปิดศูนย์บริการทดสอบทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมหาวิทยาลัยให้ได้
สำเร็จ! ตอนนี้ "งานเข้า" เยอะมาก ทำให้นัทสิมาลำบากมากด้วยเพราะยังไม่ได้เปิดศูนย์ทดสอบอย่างเป็นทางการ งานทุกอย่างเลยต้องทำเอง ตั้งแต่การรับชิ้นงานตัวอย่าง-ส่งห้องปฏิบัติการ-รับผลและ feedback -พิมพ์รายงานผลการตรวจ-เรียกเก็บเงินค่าตรวจ
2.4) ปฏิเสธถุงพลาสติกจากผู้ขายให้ได้มากกว่า 100 ครั้ง
จำไม่ได้ว่าปฏิเสธไปกี่ชิ้น? แต่นับๆดูน่าจะไม่ถึง 100 ครั้ง เพราะไม่ค่อยได้ shopping เท่าไหร่
สรุป บรรลุเป้าหมาย 2 ใน 4 ข้อ
3) เป้าหมายด้านคุณภาพชีวิตและจิตใจ
3.1) ลดค่าดัชนีมวลกาย (BMI: Body Mass Index) ลงให้เหลือ 25
แม้ว่าช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาน้ำหนักลดลงเนื่องจากไม่ค่อยได้นอน แต่ BMI ณ ปัจจุบันก็ยังคงเป็น 27.64
3.2) ขูดหินปูนปีละ 2 ครั้ง
ขูดไป 1 ครั้งเอง
3.3) ตรวจสุขภาพอย่างละเอียด ปีละ 1 ครั้ง
ยังไม่ได้ตรวจเลย คาดว่าจะไปตรวจต้นปีหน้า
3.4) ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน
ช่วงเดือนตุลาคมออกวิ่งตอนเย็นทุกวัน วันละประมาณ 30 นาที แต่ประสบอุบัติเหตุตกบันไดตอนต้นเดือนพฤศจิกายน เลยต้องหยุดออกกำลังกายไป ปัจจุบันอาการเจ็บกล้ามเนื้อหายไปแล้ว คาดว่าจะกลับไปวิ่งอีกครั้งเร็วๆ นี้
3.5) ปีนี้ต้องกลับไปวิ่งมินิมาราธอนให้ได้!
กลับไปไม่ได้!
3.6) ไม่ลืมที่จะฝึกจิตและเติมความรู้ทางธรรมอยู่เสมอ
พูดตามตรงคือห่างจากความรู้ทางธรรมค่อนข้างมาก ที่ทำเพิ่มเติมคือเปิด CD เพลงของเสถียรธรรมสถานฟังก่อนนอนเท่านั้น
สรุป ไม่บรรลุเป้าหมายเลยทั้ง 6 ข้อ
4) เป้าหมายด้านเศรษฐกิจ&ครอบครัว
4.1) มีเงินออมเพิ่มขึ้น 10% จากปี 2550 (ไม่รวมอัตราเงินเฟ้อ)
ไม่ได้ตามเป้า เนื่องจากนำเงินส่วนหนึ่งไปลงทุนในการทำไร่มันสำปะหลัง เงินอีกส่วนก็จมไปกับตลาดหุ้น
4.2) โทร.หาคุณแม่ให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
เฉลี่ยแล้วเกือบๆ ได้ แต่ลงทุนซื้อ Sim คู่รักเพื่อโทรหาคุณแม่โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเวลา
4.3) หอบงานกลับมาทำที่บ้านน้อยกว่า 3 วันต่อสัปดาห์
งานเยอะมากกกกกกก ข้อนี้ทำไม่ได้เลย กำลังคิดอยู่ว่าปีหน้าจะทำอย่างไรดี?
4.4) จัด trip ท่องเที่ยวธรรมชาติอย่างน้อย 2 ครั้งต่อปี
ไม่ได้ทำ
สรุป ไม่บรรลุเป้าหมายเลยทั้ง 4 ข้อ
5) เป้าหมายด้าน Blog (มีด้วย)
5.1) ความถี่ในการอัพบล๊อกเฉลี่ย 2 ครั้งต่อเดือน
ตลอด 12 เดือนที่ผ่านมาอัพบล๊อกไปทั้งหมด 8 ครั้ง คิดเป็น 0.66ครั้งต่อปี....ไม่ผ่าน!!
5.2) เพิ่มยอดแฟนคลับ (มีด้วย!!) 50%
ไม่มีแฟนคลับ T_T
สรุป ไม่บรรลุเป้าหมายเลยทั้ง 2 ข้อ
---------------------------------------------------------------------------
โดยภาพรวมแล้วปีนี้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้เพียง 23.8% ของเป้าหมายทั้งหมดเท่านั้น โดยเป้าหมาย "เรื่องงาน" ดูจะได้รับความสำคัญมากกว่าซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
แนวทางดำเนินการในปีหน้าคือเป้าหมายที่ยังไม่บรรลุจะยังคงไว้ หรือ ปรับปรุงเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการวัดมากขึ้น ส่วนเป้าหมายที่บรรลุแล้วจะพิจารณาปรับเกณฑ์ขึ้นเพื่อความท้าทายเป็นกรณีไป
การแก้ปัญหาการไม่บรรลุเป้าหมายจะกระทำโดยมีการสรุปผลการดำเนินชีวิตเป็นรายไตรมาสเพื่อประเมินแนวโน้มของการบรรลุหรือไม่บรรลุเป้าหมายเพื่อที่จะได้ดำเนินมาตรการแก้ไขได้อย่างทันท่วงที
จบการรายงาน!
Monday, December 01, 2008
เรื่องการเมืองไทยตอนนี้ก็พอจะอธิบายได้ด้วยวาทกรรมที่กล่าวมาข้างต้น (ถ้าไม่กลัวนักวิชาการสายสังคมศาสตร์จะหาว่ากระแดะเอาความรู้โบราณระดับขึ้นหิ้งแล้วยังมีใยแมงมุมเกาะมาใช้)
ประเด็นคือความขัดแย้งที่เกิดขึ้นตลอดช่วงเกือบๆ 200 วันหลังจาก PAD ยึดทำเนียบรัฐบาลได้นั้นเป็นพัฒนาการของศรัทธาทางการเมืองที่เห็นได้ชัดชัดขนาดที่ว่าหากมีใครสักคนเรียนป.โทหรือป.เอกสายรัฐศาสตร์ ผมจะแนะนำให้เอาเรื่องนี้ไปทำวิทยานิพนธ์เลยทีเดียว
น่าสนใจมากนะครับ โดยเฉพาะศรัทธาทางการเมืองทีเกิดในฝั่งสีแดงนั้นผูกติดกับระบบอุปถัมภ์ของสังคมไทยในระดับรากหญ้าอย่างแยกไม่ออกอีกต่างหากกระบวนการพัฒนาจากทัศนคติมาเป็นความเชื่อ จากความเชื่อเป็นค่านิยม และสุดท้ายมาจบที่ศรัทธาทางการเมืองที่เข้มข้นถึงขนาดประกาศจะเข่นฆ่าอีกฝ่ายในตายตกไปตามกันนี่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
อาจารย์ท่านหนึ่งที่สอน Game theory ถึงกับบอกว่าเกมนี้มีจุดจบอยู่สองแบบ หนึ่งคือแกนนำของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายไป หรือไม่ก็ตายมันทั้งสองฝั่งนั่นแหละ!
ผมก็ได้แต่สงสารคนที่ไปเป็น "มวลชน" ไม่ว่าจะเป็นเหลืองหรือแดงก็ตามผมเข้าใจว่าท่านเหล่านั้นส่วนหนึ่งไปด้วย "ใจ" จริงๆ
เป็น"ใจ" ที่น่าคารวะและเชิดชูโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนแต่เป็น "เกม" ของแกนนำทั้งสองฝ่าย
ในบรรดาแกนนำ...ไม่มีใครห่วงใยใครนอกจากตัวเอง
ในบรรดาแกนนำ...ไม่มีใครรักและหวังดีกับประเทศชาติเหมือนที่พูด
ทุกคนล้วนผลิต "ชุดความเชื่อ" ออกมาและขายมันให้กับผู้เข้าร่วมชุมนุม จากนั้นก็พัฒนาชุดความเชื่อนั้นให้กลายเป็น "ศรัทธา" แบบถูกบ้างผิดบ้าง
เราเลิกกันเถอะครับ
Tuesday, September 02, 2008
การเพิกเฉยและความเป็นกลางทางการเมือง
แม้จะมีแต่คนบอกว่า "ดูข่าวการเมืองแล้วเครียด...อย่าไปดูมันเลย" แต่ผมก็ใช้เวลาส่วนหนึ่งของวันคอยติดตามสถานการณ์ของกลุ่มการเมืองทั้งในและนอกรัฐสภา
เครียดน่ะ...ก็ใช่อยู่
แต่จะให้ไม่สนใจเลยเนี่ยมันผิดวิสัยอดีต Activist นะครับ
.........................................................................
ไม่รู้เคยเขียนบอกไปหรือยังว่าผมเป็นคนหนึ่งที่ "ไม่รับ" ร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 นะครับ
อ่านแล้วและ "คิดแล้ว" ว่า "ไม่รับ"
เหตุผลสำคัญประการหนึ่งนอกเหนือจากเหตุผลหลักที่ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้มาจากกระบอกปืนก็คือการระบุไว้ในมาตราหนึ่ง (ขออภัยที่จำไม่ได้) ว่า ข้าราชการ, เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือพนักงานของรัฐต้องมีความเป็นกลางทางการเมือง
ผมไม่เข้าใจว่า "ความเป็นกลางทางการเมือง" ตามเจตจำนงของรัฐธรรมนูญคืออะไร?
และผมก็ไม่แน่ใจด้วยว่าจะปฏิบัติตามได้?
..........................................................................
อาจารย์ท่านหนึ่งที่ผมรู้จักบ่น "พันธมิตรฯ" ให้ฟังว่าทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน
จะเดินทางไปไหนก็ไม่สะดวก มาหยุดเดินรถไฟ มาขัดขวางการเดินทางโดยเครื่องบินของนักท่องเที่ยวแบบนี้แย่มาก
ว่าแล้วแกก็บอกว่ากำลังเขียนโครงการสมานฉันท์ จะให้คนที่ "เป็นกลาง" ออกมาแสดงตัวโดยใส่เสื้อสีขาว แล้วบอกว่าเราไม่นิยมความรุนแรง จะทำอะไรก็ทำ อย่าทำความเดือดร้อนให้กับประชาชน
สีขาว = เป็นกลาง
ผมฟังแล้วก็แอบถอนใจและส่ายหน้า
ถ้าใส่เสื้อขาวแล้วทำให้นายกรัฐมนตรีและแกนนำพันธมิตรเลิก "ดื้อ" ได้
ผมใส่ให้ทั้งปีเลยเอ้า!
........................................................
หลายคนบอกว่า การเมืองไทยวันนี้แบ่งเป็นสองขั้วชัดเจน
จริงๆ แล้วผมว่ามีมากกว่านั้น
ลองทำแบบสอบถามทัศนคติโดยใช้ Likert scale ประมาณ 5 น่าจะพอดี
คำถามคือ "คุณเห็นด้วยหรือไม่ว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่มีประสิทธิภาพและควรวางมือ"
ในช่องแสดงความคิดเห็นก็มีตั้งแต่ เห็นด้วยมาก เห็นด้วย ปานกลาง ไม่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วยมากที่สุด
เชื่อสิครับว่ามีคนกามาให้ทุกช่อง
และ
เชื่อสิครับว่าถ้านับความถี่แล้วจะมีคนกาให้ช่อง "ปานกลาง" มากที่สุด
............................................................
โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่า "ความเป็นกลางทางการเมือง" กับ "การเพิกเฉยทางการเมือง" นั้นต่างกัน
แต่ในขณะเดียวกันก็ซ้อนทับกันอยู่
ใครบางคนอาจจะบอกว่าไม่เห็นด้วยกับฝ่ายไหนทั้งสิ้น ไม่สนใจว่าใครหรือฝ่ายไหนจะทำอะไร
ขออย่างเดียว...อย่ามาทำให้ฉันเดือดร้อนเป็นพอ
ผมเองนั้นเป็นประเภทที่ไม่ได้เห็นด้วยกับพันธมิตรฯไปซะทุกอย่าง แต่ก็ไม่ได้เห็นดีเห็นงามไปกับรัฐบาลเหมือนกัน
ผมยอมรับว่าการเกิดขึ้นและดำรงอยู่ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในช่วง 100 วันทีผ่านมานั้นมี "คุณูปการ" บางอย่างต่อสังคมไทย
แต่ "วิธีการ" ที่พันธมิตรเลือกใช้ในช่วงหลังๆ นั้นก็ดูจะเกินเลยไปมาก
เวลาเราแก้ปัญหาทางวิศวกรรมนั้น "วิธีการ" ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
เพราะ "วิธีการ" ที่ผิด ย่อมนำไปสู่ "ผลลัพธ์" ที่ผิดเสมอ
และท่ามกลางความขัดแย้งรุนแรงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
ผลลัพธ์ที่พันธมิตรฯ ตั้งใจให้เป็นเมื่อแรกเริ่มขับเคลื่อนการชุมนุม
กับผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นในท้ายที่สุด
คงต่างกัน
แต่ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร
ผมมั่นใจว่าสังคมประชาธิปไตยของเราจะเติบโตขึ้น
แม้ว่าการเติบโตนั้นจะเจ็บปวดบ้างก็ตาม
Labels: การเมือง
Saturday, July 19, 2008
รุ้งกินน้ำ
บอกตามตรงว่าแอบตื่นเต้นนิดนึง
อาจเป็นเพราะหลายปีที่ผ่านมาไม่ค่อยได้สังเกตภูมิทัศน์รอบตัวเท่าไหร่ เลยจำไม่ได้ว่าตัวเองเห็นรุ้งกินน้ำครั้งล่าสุดเมื่อใด?
-----------------------------------
ช่วงนี้ผมโดนรังควาญจาก Mobile Marketing ค่อนข้างถี่
ของแบบนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่เชียว...มันมาเป็นช่วงๆ
ช่วงไหนมีเบอร์แปลกๆ หรือ Private Number มานี่ก็จะระดมกันมาแบบสายแทบไหม้
อยากจะบอกเหลือเกินว่าไม่รู้จะกระเหี้ยนกระหือรืออยากขายผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้กับอาจารย์มหาวิทยาลัยจนๆ อย่างผมไปถึงไหน?
พอดีคุณพ่อคุณแม่สอนมาดีครับ
ท่านสอนว่าอย่าพูดคำหยาบกับคนแปลกหน้า
ผมเลยสงบปากสงบคำแล้วอือๆ ออๆ ไปกับพนักงานขายเหล่านั้น ซึ่งก็ไม่รู้ว่าตัวเองทำถูกหรือเปล่า? บางทีคนขายเค้าอาจจะอยากให้บอกไปเลยตรงๆ ก็ได้ว่าไม่เอาครับ ไม่สนใจผลิตภัณฑ์ครับ เพื่อที่เขาหรือเธอจะได้ไปทำหน้าที่ของตนกับว่าที่ลูกค้ารายอื่นต่อไป
สมัยหนุ่มๆ ผมเคยห่ามขนาดพูดจากวนประสาทพนักงานเหล่านี้ไปก็หลายครั้ง แต่ไม่หยาบคายนะครับ...บอกแล้วไงว่าคุณพ่อคุณแม่สอนมาดี
ตอนนี้เลิกแล้วครับ ใครโทรมาก็บอกเค้าไปตามจริงว่าเงินเดือนอาจารย์มหาวิทยาลัยวุฒิปริญญาโทมันแค่ 12,600 บาท
บางคนมีถามอีกนะว่า "รวมทุกอย่างแล้วเหรอคะ?"
ไม่อยากบอกเลยว่าถ้ารวมไอ้ที่หักๆ ไปทุกเดือนแล้วเนี่ยมันเหลือน้อยกว่านี้อีกนะครับ
----------------------------------
ตอนที่ตัดสินใจย้ายจากกรุงเทพฯ มาอยู่ต่างจังหวัด ผมเองก็ทำใจมาแล้วในระดับหนึ่งว่าชีวิตคงไม่เหมือนเดิม
หลักๆ ก็เรื่องรายรับที่จะลดลง สภาพคล่องทางการเงินก็คงไม่ดีเหมือนอยู่กรุงเทพฯ
แต่ก็แอบคิดไว้แล้วเหมือนกันว่าเงินที่หายไปน่าจะชดเชยกลับมาด้วยอะไรบางอย่างที่เงินหาซื้อไม่ได้
บางที..รุ้งกินน้ำที่เห็นวันนี้อาจเป็นสิ่งหนึ่งที่ยืนยันความเชื่อข้างต้น
"Life is like a rainbow. You need both the sun and the rain to make its colors appear"
"ชีวิตก็เหมือนรุ้งกินน้ำ เราต้องการทั้งแสงแดดและสายฝนเพื่อสร้างให้มันมีสีสัน"
Tuesday, March 18, 2008
การปฏิเสธถุงพลาสติกชิ้นที่ 4 ของนัทสิมา
อีกทั้ง Summer ก็จะเปิดสอนอยู่รอมร่อแต่ Course Outline ที่ตั้งใจจะออกแบบให้เป็นการเรียนการสอนเชิง Constructivism (ผู้เรียนหาความรู้ที่ตัวเองอยากรู้ด้วยตนเอง) ก็ยังไม่แล้วเสร็จ
งานวิจัยที่ได้ทุนจากสกว. ก็เร่งๆ ให้ส่งบทความวิจัยภายในสอง-สามวันนี้
ทุนวิจัยตัวใหม่ก็จะปิดรับข้อเสนอภายในสองสามวันนี้(เช่นกัน)
บลา บลา บลา...
ที่กล่าวมาทั้งหมด คือข้อแก้ตัวของการไม่อัพบล๊อกเรื่อง Japan Trip ครับ
----------------------------------------
มาว่าเรื่อง "การปฏิเสธถุงพลาสติกชิ้นที่ 4 ของนัทสิมา" บ้างดีกว่า
เรื่องของเรื่องคือเมื่อตอนที่นัทสิมาเอ่ยปฏิเสธถุงพลาสติกในร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง พอดีว่าเพื่อนอาจารย์รุ่นพี่ที่ไปซื้อของด้วยกันเกิดประทับใจในไอเดียนี้
โรคปฏิเสธถุงพลาสติกก็เลยติดต่อกันไปในหมู่อาจารย์ 2-3 คน
นับว่าเป็นนิมิตหมายอันดี
ว่าแล้วนัทสิมาก็ขอเชิญชวนมิตรรักแฟน blog มาร่วมปฏิเสธถุงพลาสติกกันเถิด
หากปฏิเสธได้แล้วก็ให้ท่านเขียนใส่ blog ป่าวประกาศให้สาธารณชนรับรู้ไปเลยว่า "วันนี้ข้าฯปฏิเสธถุงพลาสติกได้อีก 1 ถุงแล้วนะ รวมทั้งปีปฏิเสธไปแล้วกว่า 16 ถุงเชียวนะเฟ้ย"
หาก Blogger ท่านใดมีความสามารถทำระบบ record จำนวนถุงที่ปฏิเสธให้นำ Code มาแปะใน blog อื่นๆ ได้จะเป็นสาธารณกุศลมากมาย
----------------------------------
"วันนี้นัทสิมาปฏิเสธถุงพลาสติกได้อีก 1 ถุงแล้วนะจ๊ะ รวมเป็น 4 ถุงแล้วจ้า"
Saturday, March 01, 2008
JPN Trip Photo (1): Hanako = ดอกไม้
นัทสิมาเองเป็นคนที่ความรู้เรื่องดอกไม้อยู่ในระดับต่ำถึงต่ำมาก จึงไม่สามารถบอกได้ว่าคุณดอกไม้ที่ถ่ายรูปมานี้เป็น Sakura หรือไม่? แต่มีความน่าจะเป็นที่จะ "ไม่ใช่" สูงกว่า เพราะตอนที่ถ่ายรูปมาเนี่ยที่ญี่ปุ่นยังเป็นฤดูหนาวอยู่ และ Sakura ก็น่าจะบานในอีกเดือนหรือสองเดือนข้างหน้า
Friday, February 29, 2008
Yokoso! Japan
นั่งรถไฟเป็นบ้าเป็นหลัง (เนื่องจากซื้อ JR Pass หรือตั๋วเหมาแบบ 7 วันไปจากเมืองไทย...กลัวไม่คุ้ม)
ตื่น 6 โมงเช้า เข้านอนเกือบเที่ยงคืนทุกวัน
เที่ยว / conference / กิน / ถ่ายรูป / เดิน / ใช้ชีวิตอยู่ในหลายๆ เมือง
Tokyo / Yokohama / Kamakura / Kyoto / Himeji / Hiroshima / Kitakyushu / Fukuoka
กลับมาแล้วก็ยังนั่งงงๆ ว่าทำไปได้ไง?
เอาเหอะ...แล้วจะเล่าให้ฟัง (เรื่อยๆ) ตามหัวข้อต่อไปนี้
- โตเกียวไม่มีหมา
- เป๊ะ! ... เรื่องของ Standardization ในญี่ปุ่น
- Intelligence Manaufacturing System ระบบการผลิตในโลกอนาคตที่ไม่ไกล
- รถไฟ / รถเมล์ / รถราง / รถไฟใต้ดิน
- International Conference เป็นอย่างนี้นี่เอง
- ฮิโรชิม่าในวันฟ้าหม่น
- บ้านน๊อก..บ้านนอก
- Zen
- กิน
- Hostel กับ Hotel
- Backpacker's Alogorithm
- ฯลฯ
ระหว่างนี้ขออนุญาตย่อรูป เลือกรูปสวยๆ จาก trip นี้เพื่อจะมาใช้ประกอบเรื่องราวทีจะทยอยนำมาเล่าให้มิตรรักแฟน blog ได้อ่านกัน
โปรดรอคอยด้วยใจระทึก!
Monday, February 18, 2008
เรื่องชื่นใจ
จุดประสงค์หลักคือต้องการ "ยึดโยง" นักศึกษาที่กำลังจะจบออกไปกับชุมชนที่ตนเองเคยอยู่
อีกอย่างหนึ่งคืออยากให้เด็กๆ ของนัทสิมามีสิ่งที่เรียกว่า "จิตอาสา" ติดตัวกันไปไม่มากก็น้อย
เด็กๆ ของนัทสิมาจึงก็กระจายกันออกไปประเมินความเสี่ยงของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้าง โรงเรียนประถมบ้าง สถานีอนามัยบ้าง และกลับมาพร้อมกับโครงการปรับปรุงสภาพความปลอดภัย
หลังจากตรวจโครงการที่นำเสนอกันมาและอนุมัติไปบางส่วน นักศึกษาบางกลุ่มก็เริ่มลงไปยังพื้นที่จริงอีกครั้งเพื่อดำเนินการ "ปรับปรุง" จริงๆ
ช่วงต้นเดือน มีนักศึกษาแจ้งว่าจะเข้าไปปรับปรุงโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง นัทสิมาจึงเดินทางติดตามไปด้วย (ทั้งๆ ที่คืนก่อนนั่งทำ research paper จนถึงตีสี่)
พอไปถึง ครูใหญ่ของโรงเรียนแห่งนั้นก็เข้ามาขอบคุณกันยกใหญ่ ทำเอานัทสิมาตั้งตัวแทบไม่ทัน
คุณครูขอบคุณแล้วก็ขอบคุณอีก โค้งแล้วโค้งอีก จนนัทสิมาเกรงใจ
นั่นนับเป็นเรื่องชื่นใจเรื่องที่หนึ่ง
เป็นเรื่องชื่นใจที่เงินเดือนหลายหมื่นบาทในกรุงเทพฯ หาซื้อไม่ได้
......................................................................
เรื่องชื่นใจเรื่องที่สอง
paper ของนัทสิมา (อันที่ทำถึงตีสี่นั่นแหละ) ได้รับการตอบรับให้ไปนำเสนอในงานประชุมวิชาการนานาชาติ ณ ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้แหละ
งั้นเป้าหมายประจำปีนี้ก็บรรลุไปข้อนึง (เล็กๆ) แล้วสิเนี่ย?
.......................................
เรื่องชื่นใจเรื่องที่สาม
ก่อนจะเป็น paper ที่ได้รับการคัดเลือกไปญี่ปุ่นนั้น นัทสิมาได้ Contribute ผลการทดลองบางส่วนเพื่อเขียนเป็นบทความวิจัยเล็กๆ แล้วก็ (โดน Supervisor บังคับ) ให้ส่งเข้าประกวดในงานประชุมวิชาการบัณฑิตศึกษาของมหาวิทยาลัย
วันพฤหัสบดีที่แล้วก็ได้จัดการไปนำเสนอต่อหน้าคณะกรรมการจากสาขาวิชาต่างๆ
ปรากฎว่ามันได้รางวัลนำเสนอผลงานวิจัยยอดเยี่ยม!
........................................
เรื่องชื่นใจเรื่องที่สี่
วันศุกร์ที่ผ่านมาสำนักงานผู้ประสานงานโครงการของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ได้มาตรวจประเมินความก้าวหน้าของงานวิจัยที่นัทสิมาและนักศึกษา 2 กลุ่มได้รับทุนวิจัยมาทำร่วมกับวิสาหกิจชุมชน
อาจเป็นเพราะได้นักศึกษาที่เอาการเอางาน งานที่ออกมาก็เลยมีปริมาณความก้าวหน้าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ
ผู้ประเมินฯ เลยชมเชยนัทสิมาและคณะสามเวลาหลังอาหาร แถมยังบอกอีกว่าต่อไปภาควิชาที่นัทสิมาสอนอยู่จะต้องมีชื่อเสียงระดับประเทศ
ยกยอกันขนาดนั้นเลยเชียว...(เขินนะเนี่ย)
....................................
เรื่องชื่นใจทั้งหมดทั้งมวลคือสิ่งที่ช่วยให้นัทสิมามั่นใจขึ้นว่าข้อความ "I will change the world" ที่แปะอยู่ในคอลัมน์ข้างๆ นั้นจะเป็นจริงได้
ก็ในเมื่อคนเราต่างก็มี "โลก" หลายใบซ้อนทับกันอยู่
นัทสิมาจึงเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลง "โลก" จึงเป็นสิ่งที่ทำได้โดยการค่อยๆ เปลี่ยน "โลก" ใบเล็กๆ ที่แวดล้อมตัวเองอยู่ก่อน
ในขณะเดียวกันก็ต้องเปลี่ยน "คน" ให้มีศักยภาพเพียงพอที่จะไปเปลี่ยนแปลง "โลก" ของพวกเขาให้ดีขึ้นต่อไปในอนาคต
ยืนยันอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนอีกครั้ง ณ ที่นี้
I will change the world!
Wednesday, February 06, 2008
To Do List 2008
เป้าหมายชีวิตของนัทสิมาประจำปี พ.ศ. 2551
1) เป้าหมายทางวิชาการ
1.1) มีผลงานที่ได้รับคัดเลือกให้นำเสนอในงานประชุมวิชาการนานาชาติ อย่างน้อย 2 เรื่อง
1.2) มีผลงานที่ได้รับการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารวิชาการนานาชาติ 1 เรื่อง
1.3) มีผลงานที่ได้รับการพิจารณาให้ตีพิมพ์หรือนำเสนอในระดับประเทศ 2 เรื่อง
1.4) มีเอกสารประกอบการสอน / ตำรา อย่างน้อย 2 เล่ม
1.5) ได้รับทุนวิจัย / ทุนการศึกษา / ทุนอื่นๆ มูลค่ารวมไม่น้อยกว่า 200,000 บาท
2) เป้าหมายด้าน Social Responsibility
2.1) เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการ/คณะทำงานระดับจังหวัด อย่างน้อย 2 คณะทำงาน
2.2) มีภาระงานที่เกี่ยวข้องกับการบริการวิชาการชุมชน ไม่น้อยกว่า 400 ชั่วโมง
2.3) ขออนุมัติเปิดศูนย์บริการทดสอบทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมหาวิทยาลัยให้ได้
2.4) ปฏิเสธถุงพลาสติกจากผู้ขายให้ได้มากกว่า 100 ครั้ง
3) เป้าหมายด้านคุณภาพชีวิตและจิตใจ
3.1) ลดค่าดัชนีมวลกาย (BMI: Body Mass Index) ลงให้เหลือ 25
3.2) ขูดหินปูนปีละ 2 ครั้ง
3.3) ตรวจสุขภาพอย่างละเอียด ปีละ 1 ครั้ง
3.4) ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน
3.5) ปีนี้ต้องกลับไปวิ่งมินิมาราธอนให้ได้!
3.6) ไม่ลืมที่จะฝึกจิตและเติมความรู้ทางธรรมอยู่เสมอ
4) เป้าหมายด้านเศรษฐกิจ&ครอบครัว
4.1) มีเงินออมเพิ่มขึ้น 10% จากปี 2550 (ไม่รวมอัตราเงินเฟ้อ)
4.2) โทร.หาคุณแม่ให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
4.3) หอบงานกลับมาทำที่บ้านน้อยกว่า 3 วันต่อสัปดาห์
4.4) จัด trip ท่องเที่ยวธรรมชาติอย่างน้อย 2 ครั้งต่อปี
5) เป้าหมายด้าน Blog (มีด้วย)
5.1) ความถี่ในการอัพบล๊อกเฉลี่ย 2 ครั้งต่อเดือน
5.2) เพิ่มยอดแฟนคลับ (มีด้วย!!) 50%
Sunday, December 30, 2007
รายงานผลการดำเนินชีวิตประจำปี 2550
พันธกิจในปี 2550
1. ในขณะที่บรรดา Blogger เพื่อนบ้านของนัทสิมาอย่าง Mr.Gelgloog หรือ Epsie ต่างพากันลาพักร้อนเพื่อไปประกอบกิจส่วนตัวอันสำคัญยิ่ง นัทสิมากลับทำในสิ่งตรงข้าม กล่าวคือ แอบไปเปิด blog ไว้อีก 2 blogs ที่ wordpress ตั้งใจว่าอันนึงสำหรับเขียนเรื่องเชิงท่องเที่ยวเดินทาง (ที่นานๆ จะได้ไปไหนสักที) ส่วนอีกอันเป็น blog ของวิชาด้านคุณภาพที่สอนในเทอมนี้ปัจจุบัน blog หลังดูจะได้รับการดูแลมากกว่า อันเนื่องจากมีนักเรียนเข้ามาเยี่ยมชมเป็นระยะถ้าไม่รู้จัก up blog ล่ะก็....โดนล้อในคาบเรียนแย่เลย
สรุปผล - ปัจจุบันนัทสิมามี Blog ที่เปิดไว้ทั้งหมด 9 Blog ด้วยกัน ! โดยประกอบไปด้วย Blog เรื่อยเปื่อยจำนวน 2 Blog , ท่องเที่ยว 1 Blog, วิชาที่สอน 5 Blog และวิชาการ 1 Blog (แต่ที่ Active จริงๆ มีเพียง 2 Blog เท่านั้น ที่เหลือเป็นประเภท Slow move)
2. กล่าวโดยสรุป Blogspot (http://natsima.blogspot.com) ก็จะแปรสภาพจากที่เคยตั้งใจไว้ว่าจะเขียนเรื่องวิชาการแบบที่ไม่หนักเกินไปนัก กลายเป็น blog ประเภทรวมมิตร, ตามใจฉัน, เรื่อยเปื่อย ฯลฯ
สรุปผล - เป็นดังที่ตั้งใจไว้ทุกประการ Blog นี้เป็นแหล่งรวม everything เลยทีเดียวเชียว
3. ส่วนเรื่องเชิงวิชาการอาจจะมี post ที่นี่บ้าง (ไม่ว่าเขียนอะไรจะเอามาลงที่นี่เสมอ) เรื่องท่องเที่ยวก็ไปที่ wordpress อ้อ..ตั้งใจว่าจะเปิด blog ธรรมะรวมข้อเขียนสมัยอยู่ในเพศบรรพชิตเอาไว้ด้วย
สรุปผล - เรื่องท่องเที่ยวและเรื่องธรรมะ ไม่ได้เขียนเลย
4. ความถี่ในการ up blog จากเดิมในปีที่แล้วเฉลี่ยอยู่ที่เดือนละครั้ง จะเปลี่ยนเป็นสัปดาห์ละครั้งให้ได้ (สู้ๆ)
สรุปผล - ทำไม่ได้!
5. ปีนี้ตั้งใจว่าจะทำงานวิจัยเพื่อตีพิมพ์ในวารสารวิชาการในประเทศ (เป็นอย่างต่ำ) อย่างน้อย 3 เรื่อง ปัจจุบันเริ่ม kick off ไปแล้ว 1 เรื่อง ส่วนอีก 2 เรื่องกำลังคิดๆ หัวข้ออยู่
สรุปผล - งานวิชาการในปีนี้ค่อนข้างเป็นไปตามเป้า กล่าวคือมีงานที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการในประเทศ 2 เรื่อง กำลังรอตีพิมพ์อีก 1 เรื่อง (รวมเป็น 3 เรื่องพอดี) นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่ได้ไป Conference อีก 1 เรื่องซึ่งเป็นงานที่ทำสมัยเรียนปริญญาโท และมีบทความวิเคราะห์การเมืองตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจอีก 1 บทความ
6. ปีที่ผ่านมาซื้อหนังสือ (textbook) มาหลากหลายสาขาวิชา ตั้งใจว่าน่าจะค่อยๆ ย่อยไปได้อย่างน้อย 50%
สรุปผล - เนื่องจากปีนี้เปลี่ยนที่ทำงาน อีกทั้งยังย้ายเวทีวิชาการจากศาสตร์แขนงหนึ่งไปอีกแขนงหนึ่ง หนังสือที่ซื้อมาเลยยังอยู่ของมันอย่างนั้น แต่คาดว่าจะได้อ่านภายใน 3-5 ปีนี้แหละ
7. ถ้าไม่มีอะไรผิดไปจากแผนที่วางไว้ ปีนี้น่าจะเปิดบริษัท (เล็กๆ) ของตัวเองได้
สรุปผล - บริษัทคงจะเปิดได้หลังจากเรียนจบปริญญาเอก ช่วงนี้ต้องหมกมุ่นและฟุ้งซ่านกับงานวิจัยไปก่อน
8. ถ้าไม่มีอะไรผิดแผน น่าจะมีเวลาว่างมากขึ้น และอาจจะทำหนังสือวิชาการสัก 1 เล่ม
สรุปผล - ปีนี้เขียน "เอกสารประกอบการสอน" ได้ 5 บท เลยเอาไปรวมเป็นหนึ่งเล่ม แล้วเขียนหน้าปกว่า "เล่ม 1" ณ ปัจจุบัน บทที่ 6 ก็ยังไม่ได้เขียนต่ออยู่ดี...แล้วมันจะมีเล่ม 2 ไหมเนี่ย?
9. อยากลดน้ำหนัก น่าจะลดได้ (ถ้าพยายาม)
สรุปผล - น้ำหนักไม่ลด แต่ก็ไม่เพิ่ม ช่วงที่ย้ายมาบ้านนอกใหม่ๆ พยายามตื่นไปวิ่งออกกำลังกายแต่ทำได้ประมาณเดือนนึงก็กลับสู่ภาวะปกติ ยังคงต้องพยายามต่อไป
กล่าวโดยสรุป ปีนี้เป็นที่มีความก้าวหน้าทางวิชาการอยู่ในระดับที่น่าพอใจ แต่ต้องปรับปรุงในส่วนของคุณภาพชีวิต นั่นคือต้องออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักและเสริมสร้างสุขภาพให้จริงจังมากขึ้น
ส่วนเรื่อง Blog ก็ควร ลด ละ เลิก ความบ้าพลังลง แล้วหันมา Update ให้ถี่ขึ้นเป็นอันๆ ไปจะดีกว่า
จบการรายงานแต่เพียงเท่านี้
Monday, December 24, 2007
ทำไมคนไทยส่วนใหญ่ยังยินดีที่จะเลือกพรรคพลังประชาชน?
แต่สิ่งที่จำเป็นต้องได้รับคำอธิบายก็คือ เหตุใดคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศยังคงให้ความไว้วางใจพรรคพลังประชาชน ซึ่งแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเป็นนอมินีของพรรคไทยรักไทยอันอื้อฉาว?
โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าเราสามารถอธิบายเรื่องนี้ได้ด้วยทฤษฎีทางจิตวิทยา 2 ทฤษฎี
ทฤษฎีแรกคือเรื่องของ Threshold ซึ่งหมายถึงระดับต่ำสุดของแรงกระตุ้นที่ทำให้ผู้ถูกกระตุ้น “รู้สึก” ยกตัวอย่างเช่น การที่เราค่อยๆ ใช้เล็บจิกลงไปบนแขนของเพื่อนแล้วถามเพื่อนว่ารู้สึกเจ็บไหม? หากไม่เจ็บก็เพิ่มแรงกดเรื่อยๆ จนกระทั่งเพื่อนร้องจ๊ากออกมา..นั่นแหละครับ Threshold อย่างไรก็ตามหลังจากเลยจุด Threshold นี้ไปแล้ว แม้ว่าเราจะเพิ่มแรงกดมากขึ้นเท่าใด เพื่อนเราก็ไม่ใช่จะไม่เจ็บนะครับ ยังเจ็บอยู่แต่ความเจ็บนั้นก็จะ “เท่าๆ กัน” กับความเจ็บที่จุด Threshold นั่นเอง (นอกเสียจากเราจะจิกซะจนเลือดพุ่งออกมา...ซึ่งนั่นก็จะเป็นอีกกรณีหนึ่ง)
เรื่องระดับความ “เจ็บ” นี่เองที่จะใช้ในการอธิบายว่าเหตุใดคนไทยที่เคย “เจ็บ” กับระบอบทักษิณมาแล้วยังคงกลับไปเลือกนอมินีของระบอบทักษิณกันอีก
เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าชาวบ้านส่วนใหญ่รู้ถึงความฉ้อฉลของนักการเมืองเป็นอย่างดี นอกจากนี้ชาวบ้านยังรู้อีกว่านักการเมืองหลายๆ คนก็คือ “นักโกงเมือง” ที่ยักยอก ตักตวง และถ่ายเททรัพย์สมบัติของชาติไปเป็นของตนทั้งในที่ลับและในที่แจ้ง ทั้งที่โกงแบบค่อยๆ ละเลียดโกง และที่โกงแบบมูมมามโฉ่งฉ่าง
นั่นคือ “ความเจ็บที่ถูกโกง” ของชาวบ้านนั้นผ่านจุด Threshold มาแล้วครับ
เพราะฉะนั้น เมื่อ perception ของชาวบ้านคือ “นักการเมืองทุกคนโกงเหมือนกันหมด” จะโกงสี่แสนแปดหมื่นบาท หรือโกงเจ็ดหมื่นแปดพันล้านบาท ก็สร้าง “ความเจ็บที่ถูกโกง” พอๆ กัน
อีกประการหนึ่ง ในความเห็นส่วนตัวของผมคือ จำนวนเงินในระดับหลักล้านสำหรับชาวบ้านแล้วมีค่าเท่ากันคือ “มหาศาล”
ดังนั้น ถ้าเราจะมาบอกว่ารัฐบาลไทยรักไทยโกงประเทศชาติไปกว่าเจ็ดหมื่นแปดพันล้านบาทในขณะที่อีกรัฐบาลของอีกพรรคการเมืองหนึ่งไม่ได้โกงกันมากขนาดนี้ (อาจจะบอกว่าโกงกันแค่ระดับสิบล้าน)
ในมุมมองของชาวบ้านแล้ว ปริมาณเงิน “มหาศาล” ที่ทั้งสองพรรคนั้นโกงประเทศชาติไปนั้นมันเท่าๆ กันครับ
ดังนั้น เมื่อคิดตามทฤษฎีนี้จะพบว่า ที่สุดแล้วพรรคการเมืองทุกๆ พรรคก็จะเหมือนกัน พรรคไหนได้เข้าไปเป็นรัฐบาล พรรคนั้นก็จะโกงประเทศชาติอย่าง “มหาศาล” พอๆ กัน
คำถามต่อมาคือ ก็ในเมื่อทุกพรรคต่างก็ “ไม่ดี” พอๆ กันแล้ว ทำไมต้องเลือกพรรคพลังประชาชนด้วย?
ทฤษฎี Framing Effect น่าจะสามารถใช้ในการอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้
ใจความสำคัญของทฤษฎีนี้คือ เราจะ “รู้สึกดี” เสมอถ้าเราเป็นฝ่ายได้ประโยชน์
Perception ของรัฐบาลไทยรักไทยภายใต้การนำของพ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นภาพจำอันชัดเจนของ “ความเอื้ออาทร” ซึ่งรัฐบาลมีต่อพี่น้องประชาชน (ที่ให้ความไว้วางใจพรรค) ไม่ว่าจะเป็นนโยบายกองทุนหมู่บ้าน, 30 บาทรักษาทุกโรค และโครงการ “เอื้ออาทร” อื่นๆ อีกมากมาย
ตรงกันข้ามกับภาพจำที่มีต่อรัฐบาลประชาธิปัตย์ที่เข้ามาบริหารประเทศช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจ หรือยุค IMF ที่ผู้คนต้องกระเบียดกระเสียร ดอกเบี้ยเงินฝากถูกลดลง ดอกเบี้ยเงินกู้เพิ่มขึ้น ค่าเงินตกต่ำ ข้าวยากหมากแพง
เป็น Perception ของ “ความสูญเสีย” ที่ฝังแน่นในความทรงจำของชาวบ้านมีผู้มีสิทธิลงคะแนนเลือกตั้ง
จากทฤษฎี Threshold ที่สรุปว่าชาวบ้านรับรู้ถึงความสามารถในการโกงของทุกพรรคเท่าๆ กัน มาถึงทฤษฎี Framing Effect ที่สรุปว่า Perception ดีๆ ที่มีต่อพรรคไทยรักไทยยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ
จึงเป็นคำตอบว่า เหตุใดคนไทยส่วนใหญ่ยังยินดีที่จะเลือกพรรคพลังประชาชน
Monday, December 10, 2007
LIVESTRONG - จงมีชีวิตอยู่อย่างเข้มแข็ง

จากการจัดของในวันหยุดทำให้ผมไปค้นเจอ wristband สีเหลืองที่ซื้อจากเซ็นทรัลลาดพร้าวในราคาร้อยกว่าบาทเมื่อหลายปีก่อนซึ่งเป็นช่วงก่อนที่ "ของทำเทียม" จะวางขายเกร่อเมือง (และราคาก็ตกลงมาเหลืออันละไม่กี่สิบบาท)
ด้วยความที่คิดว่ามันน่าจะทดแทนกับ wristband "เรารักพระเจ้าอยู่หัว" สีเหลืองเข้มที่ตนเองไม่มีได้ ผมเลยหยิบมาปัดฝุ่นแล้วสวมเข้าที่ข้อมือด้านขวา
ในตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรอื่น คิดเพียงว่าใส่เป็นเฟอร์นิเจอร์ประดับกายในกระแสวันเฉลิมพระชนมพรรษาเท่านั้น
6 ธันวาคม 2550
ขณะที่กำลังคุยเรื่องสัพเพเหระกับเพื่อนอาจารย์ที่นั่งโต๊ะติดกัน จู่ๆ เสียงโทรศัพท์เคลื่อนที่ของแกก็ดังขึ้น ผมเลยเดินกลับมาที่โต๊ะทำงานและจัดการกับการบ้านของนักศึกษาที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่ได้สนใจบทสนทนาทางโทรศัพท์ของเพื่อนอาจารย์
สักพัก เพื่อนอาจารย์ผู้นั้นก็ชะโงกหน้าข้าม partition มาแล้วบอกกับผมด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่าคงต้องฝากแจ้งนักศึกษาในคาบเรียนวันศุกร์ของแกด้วยว่าสัปดาห์นี้งดเพราะแกต้องเข้ากรุงเทพฯ ด่วน
จำได้ว่าผมเองยังพูดแซวออกไปว่าเข้ากรุงเทพฯ บ่อยจัง มีอะไรอยู่ที่นั่นหรือเปล่า?
อาจารย์หนุ่มวัย 30 ต้นๆ ที่เพิ่งจบจากออสเตรเลียผู้นั้น ไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่ยิ้มๆ
..เป็นยิ้มที่ดูเศร้ากว่าทุกวันที่ผมเคยเห็น
7 ธันวาคม 2550
ขณะที่ผมกำลังคุมทีมบาสเกตบอลชายของคณะฯ ซึ่งกำลังซ้อมเพื่อเตรียมลงแข่งกีฬาระหว่างคณะในมหาวิทยาลัยก็มีสัญญานเรียกเข้ามาที่โทรศัพท์เคลื่อนที่ของผม
หน้าจอโชว์เบอร์ของเพื่อนอาจารย์ผู้นั้น
"ว่าไงครับอาจารย์ กรุงเทพฯ สนุกไหม?" ผมยังแซวไม่เลิก
"ครับ เอ่อ..อาจารย์นัทครับ ผมมีเรื่องแจ้ง" น้ำเสียงเขาตอบกลับมาดูเรียบๆ อย่างประหลาด
"ผมมาฟังผลการวิเคราะห์เนื้อเยื่อที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ครับ หมอแจ้งว่าผมเป็นมะเร็งในโพรงจมูก แต่อยู่ในระยะเริ่มต้นที่ยังพอมีโอกาสรักษาให้หายได้ ระหว่างนี้ผมคงต้องอยู่กรุงเทพจนกว่าผลการรักษาจะดีขึ้น ฝากอาจารย์แจ้งคณบดี และแจ้งนักศึกษาด้วยนะครับ"
ผมนิ่งไปพักนึงก่อนจะรับคำและคุยกันเรื่องการฝากฝังวิชาที่แกสอนอยู่ ฯลฯ ครู่ใหญ่ก่อนจะวางสายไป
10 ธันวาคม 2550
ผมถอด wristband LIVESTRONG สีเหลืองอันนั้นออกจากข้อมือด้านขวาตั้งแต่วันที่ได้ทราบข่าวการเป็นมะเร็งของเพื่อนอาจารย์ท่านนั้นแล้ว
ตอนนี้มันอยู่ในซองจดหมายสีขาวที่จ่าหน้าถึงโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ โดยมีวงเล็บมุมซองว่า
(LIVESTRONG - จงมีชีวิตอยู่อย่างเข้มแข็งนะครับอาจารย์)
Sunday, October 28, 2007
สัญชาตญาณของผู้ประกอบการ (Entreprener's Instinct)
จะว่าไปแล้วคนรุ่นผม (30+) ก็น่าจะเป็นรุ่นที่พ่อ-แม่ได้ก่อร่างสร้างตัวมาระดับหนึ่งจากรุ่นปู่ย่าที่เป็นชนชั้นแรงงาน จนมารุ่นพ่อแม่พวกเราที่ผ่านระบบการศึกษาและกลายเป็นชนชั้นกลางในที่สุด
ถ้าปู่ย่าตายายเป็นพ่อค้าแม่ค้าธรรมดา พอมาถึงรุ่นพ่อแม่ก็น่าจะเป็นระดับคหบดี
เพื่อนสนิทๆ ที่กลับไปทำงานที่บ้านมักจะส่งเสียงโอดครวญมาตามสายโทรศัพท์เสมอเกี่ยวกับการ "ปะทะ" กับสิ่งที่เรียกว่า "สัญชาตญาณของผู้ประกอบการ" (Entreprener's instinct) ที่ท่านพ่อท่านแม่มีอยู่
เพื่อนบางคนถึงกับเอาปริญญาโทด้าน MBA จากสถานศึกษาเก่าแก่ระดับแนวหน้าของประเทศมาเป็นตัวประกันยามเมื่อต้องปะทะกับสัญชาตญาณดังกล่าว
...ประมาณว่า "ถ้าป๊าไม่เชื่อผม ป๊าก็น่าจะเชื่อปริญญาของผมบ้าง"
-----------------------------------------------------------------------------
วารสาร Entrepreneur Magazine ซึ่งเป็นวารสารสำหรับผู้ประกอบการได้ตีพิมพ์บทความที่เกี่ยวกับ "สัญชาตญาณ" ไว้ สรุปใจความได้ว่า การใช้สัญชาตญาณนั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์กระทำกันมาตั้งแต่ในสมัยที่ยังอยู่ตามป่าเขาโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อการรอดชีวิต อย่างไรก็ตามในยุคปัจจุบันก็ยังมีนักธุรกิจหลายคนที่ตัดสินใจโดยอาศัยสัญชาตญาณในตัวเอง
Barry Farber ผู้เขียนบทความดังกล่าวอ้างว่า เขาเคยตกใจแทบสิ้นสติสมประดีเมื่อได้พูดคุยหลังอาหารเช้ากับนักธุรกิจระดับพันล้านผู้หนึ่งซึ่งสารภาพว่าการตัดสินใจทุกอย่างของเขามาจาก "สัญชาตญาณ" ล้วนๆ !
"ในธุรกิจของผมซึ่งก็เหมือนกับธุรกิจอื่นทั่วไป ทุกๆ อย่างขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์และความไว้เนื้อเชื่อใจ เมื่อผมพบใครครั้งแรก ผมจะถามสัญชาตญาณของผมเสมอว่าคนๆ นี้ไว้ใจได้แค่ไหน? ผมจะร่วมธุรกิจกับเขาได้หรือไม่? ซึ่งทั้งหมดจะถูกประเมินจากทัศนคติ มุมมอง และความคิดของคนๆ นั้น"
สรุปว่า "สัญชาตญาณของผู้ประกอบการ" นั้นมีจริง ?
------------------------------------------------------------------------------
หากยึดเอาตามความหมายของพจนานุกรมหลายๆ ฉบับ (ทั้งไทยและเทศ) เราจะพบว่าลักษณะเด่นของ "สัญชาตญาณ" คือการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่เป็นไปโดยธรรมชาติมากกว่าจะมีเหตุผลมารองรับ และไม่ต้องมีใครมาสั่งสอน
งั้นนัทสิมาสรุปแบบฟันธงเลยละกันว่าสัญชาตญาณของผู้ประกอบการน่ะ..ไม่มีหรอก
อาเตี่ย อาม้า อาจจะบอกว่าอั๊วรู้ได้โดยไม่ต้องไปเรียน MBA ไม่ได้เข้าโรงเรียน ไม่มีเห็นมีใครมาสั่งสอน
อย่าลืมนะครับว่า "การศึกษา" กับ "การเรียนรู้" นั้นต่างกัน
ปฏิเสธไม่ได้หรอกครับว่าเถ้าแก่รุ่นพ่อรุ่นแม่เราผ่าน "การเรียนรู้" แม้จะไม่ได้ผ่านระบบการศึกษา
การสั่งของมาเกิน เก็บสต๊อกเยอะเกินไป โดนลูกหนี้โกง ฯลฯ
เรื่องพวกนี้ถูกบันทึกลงใน Learning Machine ของท่านไปเรียบร้อยแล้ว และจะกลายเป็น "เงื่อนไข" สำหรับการตัดสินใจในครั้งต่อๆไป
ดังนั้นหาก "เถ้าแก่" ท่านทักท้วงอะไรขึ้นมา จงโปรดเข้าใจว่านั่นไม่ได้เป็นสัญชาตญาณของผู้ประกอบการหรอกนะครับ
หากแต่เป็น "องค์ความรู้" ที่สั่งสมมาจากประสบการณ์
หรือถ้าหากจะเป็นสัญชาตญาณ..
ก็คงเป็นสัญชาตญาณของความเป็นพ่อเป็นแม่ ที่ไม่อยากให้ลูกเจ็บปวดหรือผิดหวังจากการตัดสินใจที่ผิดพลาด
เหมือนที่ตัวเองเคยผ่านมาแล้วในอดีตนั่นเอง
Sunday, September 30, 2007
วรรณกรรมทำให้ชีวิตละเมียดละไมขึ้น
ช่วงที่ย้ายจากกรุงเทพฯ มาสอนที่บ้านนอก โชคดีที่มีผู้อุปการะต่อชั้นวางหนังสือไว้ให้ผม 1 ตัวใหญ่ๆ
แถมยังมีตู้กระจกแบบสองชั้นอีกสองตู้ และชั้นวางหนังสือขนาด 4 ชั้นอีกสามอัน
...วางหนังสือที่ผมมีได้หมด "พอดี" เลย (จริงๆ ยังมีที่เหลืออีกนิดหน่อยในหมวดการเมืองและสังคมศาสตร์)
จากการกวาดสายตาดูคร่าวๆ ผมพบว่าตัวเองมีหนังสือในหมวด Business & Management มากที่สุด (รวมกันประมาณ 1 ตู้ครึ่ง) ในขณะที่รองลงมาเป็นพวกความเรียงทั่วไป (เช่น หนังสือของคุณสฤนี (fringer), คุณโตมร คุณโหน่ง a day ฯลฯ) และอันดับสามเป็นนิยายและวรรณกรรม
-------------------------------------------
การย้ายมาอยู่บ้านนอกทำให้ผมมีเวลามากขึ้น (เป็นอันมาก) จากที่เคยต้องใช้เวลาในการเดินทางกว่า 3-5 ชั่วโมงในแต่ละวัน ผมกลายเป็นผู้ชายที่อยู่ในสภาพพร้อมขึ้นเตียง (กล่าวคือ อาบน้ำ แปรงฟันและเปลี่ยนชุดนอนแล้วนั่นเอง...โปรดอย่าคิดเป็นอื่นไป) ตั้งแต่เวลา 19:30 น.
แปลภาษาทางการเป็นภาษาบ้านๆ คือ หนึ่งทุ่มครึ่งผมก็ไม่มีอะไรจะทำแล้ว!
เมื่อไม่มีอะไรจะทำผมก็เลยต้องหาอะไรทำ โดยเฉพาะเป็นอะไรที่ไม่ต้องใช้ทุนทรัพย์มากนัก เพราะรายได้ของคุณครูบ้านนอกก็เพียงพอสำหรับชีวิตที่พอเพียงอย่างยิ่งยวด
ว่าแล้วผมก็เลยหยิบนิยายเก่าๆ มาปัดฝุ่นอ่านกันใหม่เป็นรอบที่สอง ซึ่งก็ได้รับความบันเทิงไม่แพ้การอ่านรอบแรก แต่ที่ได้มากกว่าความบันเทิงคือผมรู้สึกว่าชีวิตมันละเมียดละไมขึ้น อาจเป็นเพราะการอ่านในรอบแรกนั้นผมมุ่งเน้นไปที่การ "อ่านเอาเรื่อง" เป็นหลัก ย่อหน้าไหนบรรยายความสวยงามของบรรยากาศตามท้องเรื่องหรือพร่ำเพ้อโศกาผมก็จะอ่านแบบ skim&scan ไปเรื่อยๆ
ผลของการอ่านวรรณกรรมแบบ fastfood ก็คือได้รู้เรื่องครับ แต่ขาดความอิ่มเอมในใจไปโข (อันนี้มารู้ก็ตอนอ่านรอบที่สองนี่แหละ) เหมือนกินอาหารแบบรีบกิน-รีบกลืนนั่นแหละครับ
มีคนเคยบอกว่าความสุขในการเดินทางไม่ได้อยู่ที่จุดหมายปลายทาง แต่อยู่ที่ระหว่างทางต่างหาก
ผมก็อยากจะบอกว่า ความสุขในการอ่านวรรณกรรมไม่ได้อยู่ที่การได้รู้เรื่องว่ามันจะจบอย่างไร? พระเอกจะได้ครอบครองหัวใจของนางเอกหรือไม่? ผู้ร้ายตายยังไง?
แต่มันอยู่ที่ได้ละเลียดไปกับอารมณ์ละเมียดที่แสนจะละไม ดื่มด่ำความสุขและความทุกข์ไปพร้อมๆ กับตัวละคร และปล่อยให้อักษรพาเราไปพบกับปลายของปมที่นักประพันธ์ได้ผูกไว้
ผมใช้ชีวิตที่รีบเร่งและลุกลนมานาน
ตอนนี้ผมกำลังหัดเดินให้ช้าลง..
และมีความสุขกับสิ่งรอบข้างให้มากขึ้น
Saturday, September 29, 2007
Natsima's Nostalgia
ผ่านไปสองปีกว่าๆ เพื่อนผมก็เริ่มเข้ามาร่วมวงเสวนาฮาเฮกันทั้งสายวิทย์สายศิลป์นับได้ 84 คน
ยังดีที่ "หลวงเพื่อน" ซึ่งอยู่เพศบรรพชิตไม่มาฮาเฮด้วย
ไม่งั้นนอกจากสายวิทย์ สายศิลป์ แล้วเราอาจจะมีสายสิญจ์มาด้วย!
-------------------------------------------------------------
ด้วยความเป็น Moderator นี่เอง ทำให้ผมต้องรับบทบาทในการประกาศข่าวคราวเพื่อนฝูง ใครจะบวชหรือจะเบียด ก็ฝากข้าพเจ้านี่แหละป่าวประกาศให้
เดือนพฤศจิกายนนี้ พอดีว่ามีเพื่อนที่รู้จักกับผมมาตั้งแต่ชั้นประถมจะแต่งงาน 2 คู่ ผมเลยบรรจงเขียน Newsletter รำลึกความหลังและเชิญชวนเพื่อนๆ ไปร่วมงานพิธีมงคลสมรสดังกล่าว
..ปรากฏว่า Feedback ดีแฮะ! เพื่อนๆ หลายคนบอกว่าเขียน "ได้ใจ" ดีจริงๆ
ว่าแล้วก็เอามาแปะไว้ที่นี่ให้ชาวบ้าน (จริงๆ คือชาวโลก) ได้อ่านละกันครับ
----------------------------------------------------------
เท่าที่ทราบ..เพื่อนเราจะแต่งงานกัน 2 คู่ในเดือนพฤศจิกายนนี้ครับคู่แรกคือหนิง สาครินทร์ 603 กับขวัญชัย 601 เห็นประกาศไว้ใน MSN ว่าสละโสดวันที่ 22 พ.ย. 50 แต่งานเลี้ยงฉลองมงคลสมรสคือวันที่ 25 พ.ย. 50 ที่โรงแรมอิมพีเรียลแม่ปิง เชียงใหม่
จำขวัญชัยได้ไหมครับ?...ผมสรุปอดีตให้ฟังคร่าวๆ ละกัน
ดช.ขวัญชัย จบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นจากโรงเรียนอัสสัมชัญลำปาง จากนั้นจึงเดินทางมาศึกษาชั้นมัธยมปลายต่อที่โรงเรียนบุญวาทย์อย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก พูดง่ายๆ คือปีนั้นอัสสัมชัญเค้ายกเลิก ม.ปลายไปเฉยๆ (รู้สึกว่าอีกปีนึงก็กลับมาเปิดเหมือนเดิม..) เด็กอัสสัมชัญรุ่น "(โดน)ลอยแพกิ่วลม" ยุคนั้นก็จะมี เจ๊ดา 602หลวงพี่ตูน 605 นายช่างปัตย์ 604 ฯลฯ
ขวัญชัยเริ่มสร้างความโดดเด่นให้กับตัวเองในปี 2535 ที่ตนเข้ามาเรียนด้วยการเปิดเครื่องแฟกซ์ที่บ้านทิ้งไว้เพื่อรับข่าวสารในยุคพฤษภาทมิฬ (ถ้าจำได้ในยุคนั้นสื่อถูกปิดกั้นมาก) จากนั้นจึงนำมาถ่ายเอกสารและแอบเอามาแปะในโรงเรียน โดยมีข้าพเจ้าเป็นผู้ร่วมขบวนการ
แผนการนี้ดูจะไม่ประสบความสำเร็จนัก เพราะอธิบายมาถีงตรงนี้เพื่อนๆ คงนึกในใจว่า "กรูไม่เห็นจะรู้เลย"
ขวัญชัยจึงเริ่มแผนการสร้างความโดดเด่นให้ตัวเองต่อไปโดยทำการจอดรถปิคอัพคันเก่งไว้ที่บ้านแล้วถอย "จักรยาน" ใหม่เอี่ยมคันนึงสำหรับปั่นมาโรงเรียน โดยHe ภูมิใจนำเสนอกับผมและผองเพื่อนเหลือเกินว่าวัสดุที่มาประกอบเป็นจักรยานนั้นทำมาจากไทเทเนียมอัลลอยผสมซาสวรก่ไน่ว์สกราไนส์ อะไรซักอย่างที่เกินสติปัญญาของเด็กไทยวัยเกรียนอย่างผมในยามนั้นเป็นอย่างยิ่ง แต่เอาเหอะ...เพื่อเพื่อน ผมเลยพยักหน้าทำเป็นเข้าใจแบบสุดๆ
วันรุ่งขึ้นขวัญชัยเลยหอบแค็ตตาล็อกจักรยานมาคุยกับผมต่ออีก!
อย่างไรก็ตามแผนการนี้ดูจะประสบผลสำเร็จพอสมควร ซึ่งขวัญชัยคงจะคิดว่าเป็นเพราะจักรยานที่ผลิตจากวัสดุไฮโซคันนั้น แต่จริงๆ แล้วมันเป็นเพราะความแปลกของเจ้าของจักรยานมากกว่าลองคิดภาพเด็กผู้ชายหัวเกรียนตัวดำๆ คนนึงจูงจักรยานเข้ามาในโรงเรียนด้วยสภาพเหงื่อโทรมกายตอนใกล้ๆ 8 โมงเช้าดูสิครับโดดเด่นสมใจเขาล่ะ..และคงจะเป็นด้วยเหตุนี้เอง ที่ทำให้ขวัญชัยฝักใฝ่หลงไหลไปกับจักรยานอย่างยวดยิ่งจนสามารถบากบั่นฝึกฝนและประสบความสำเร็จในการแข่งขันจักรยานระดับชาติได้ในที่สุด
ปัจจุบันขวัญชัยจบการศึกษาระดับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และเปิดร้านขายจักรยานที่มีชื่อเสียงระดับประเทศอยู่ที่เชียงใหม่ครับส่วนฝั่งเจ้าสาว หนิง สาครินทร์ 603 นั้นคงต้องรบกวนเพื่อนๆ 603 มาเล่าให้เราฟังแล้วละครับ
อีกคู่นึงคือ "นุ่ย" นิติรัฐ สาลี 602 ครับ แต่งวันที่ 18 พ.ย.นี้ที่เชียงใหม่เหมือนกันถ้าใครจำนุ่ยไม่ได้..ผมจะเล่าประวัติคร่าวๆให้ฟังเด็กชายนิติรัฐ จบการศึกษาระดับประถมจากโรงเรียนอัสสัมชัญ (ป.6/1) แล้วมาศึกษาในโรงเรียนบุญวาทย์เมื่อปี 2532 โดยจบการศึกษาม.ต้นจากห้องม. 3/9
นุ่ยเป็นเด็กแถวหน้า....ผมเป็นเด็กหลังห้อง
นุ่ยเรียนเก่งโดยเฉพาะวิชาสังคม....ส่วนผมสอบสังคมได้ 9/30
นุ่ยลายมือสวย....ผมลายมือห่วย
พอย่างเข้าม.ปลาย นุ่ยก็ได้รับการคัดสรรให้ไปอยู่ในห้องม. 6/2อย่างไรก็ตามเราก็เจอกันบ้างประปรายตามสถานที่เรียนพิเศษต่างๆบางครั้งที่ว่างจากการเรียนพิเศษ เราก็มักจะไปนั่งพักที่บ้านนุ่ย
ในช่วงม.ปลายมีอยู่สองเรื่องเกี่ยวกับนุ่ยที่ผมจำได้แม่นยำ
เรื่องแรก - แมวที่บ้านนุ่ยตัวใหญ่มาก ตอนแรกที่เห็นผมนึกว่าใครเอามะละกอสีประหลาดมาวางไว้บนเก้าอี้
เรื่องที่สอง - นุ่ยมีความสามารถในการเคลียร์ H-Game ได้เร็วมาก ผมเคย copyเกม Knight of Sentra ไปให้นุ่ย ปรากฏว่านุ่ยสามารถเคลียร์ได้ภายในสองวัน ในขณะที่ผมต้องใช้ความพยายามอยู่ร่วม 10 กว่าวัน!
หลังจากจบม.ปลาย ผมกับนุ่ยก็ต้องมาเจอกันอีกที่คณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทีแรกเราเกือบจะได้เรียนเมเจอร์เดียวกันแล้ว แต่พอดีมีใครบางคนชวนผมไปเรียนเครื่องกล ส่วนนุ่ยก็เลือกวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ตามที่ตั้งใจไว้
4 ปีผ่านไป..นุ่ยจบแล้ว ผมยังไม่จบจากนั้น
เท่าที่รู้ นุ่ยเองก็ไปทำงานเป็น Great Teacher Nitirat อยู่ที่มงฟอร์ตพักนึง ก่อนจะขยับขยายมาทำงานที่ True
18 / 22 / 25 พฤศจิกายนนี้ ใครอยู่แถบลำปาง-เชียงใหม่ ถ้าสามารถไปร่วมงานได้ก็ขอเชิญครับ ส่วนใครที่ไม่สะดวก ก็รบกวนแสดงความยินดีได้ผ่านกระทู้นี้ครับหรือ ต้องการสอบถามรายละเอียดก็ถามผ่านที่นี่ได้เช่นกัน