Tuesday, September 02, 2008
การเพิกเฉยและความเป็นกลางทางการเมือง
ประเด็นทางการเมืองในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้อากาศร้อนในฤดูฝนทวีความร้อนขึ้นไปหลายเท่า
แม้จะมีแต่คนบอกว่า "ดูข่าวการเมืองแล้วเครียด...อย่าไปดูมันเลย" แต่ผมก็ใช้เวลาส่วนหนึ่งของวันคอยติดตามสถานการณ์ของกลุ่มการเมืองทั้งในและนอกรัฐสภา
เครียดน่ะ...ก็ใช่อยู่
แต่จะให้ไม่สนใจเลยเนี่ยมันผิดวิสัยอดีต Activist นะครับ
.........................................................................
ไม่รู้เคยเขียนบอกไปหรือยังว่าผมเป็นคนหนึ่งที่ "ไม่รับ" ร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 นะครับ
อ่านแล้วและ "คิดแล้ว" ว่า "ไม่รับ"
เหตุผลสำคัญประการหนึ่งนอกเหนือจากเหตุผลหลักที่ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้มาจากกระบอกปืนก็คือการระบุไว้ในมาตราหนึ่ง (ขออภัยที่จำไม่ได้) ว่า ข้าราชการ, เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือพนักงานของรัฐต้องมีความเป็นกลางทางการเมือง
ผมไม่เข้าใจว่า "ความเป็นกลางทางการเมือง" ตามเจตจำนงของรัฐธรรมนูญคืออะไร?
และผมก็ไม่แน่ใจด้วยว่าจะปฏิบัติตามได้?
..........................................................................
อาจารย์ท่านหนึ่งที่ผมรู้จักบ่น "พันธมิตรฯ" ให้ฟังว่าทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน
จะเดินทางไปไหนก็ไม่สะดวก มาหยุดเดินรถไฟ มาขัดขวางการเดินทางโดยเครื่องบินของนักท่องเที่ยวแบบนี้แย่มาก
ว่าแล้วแกก็บอกว่ากำลังเขียนโครงการสมานฉันท์ จะให้คนที่ "เป็นกลาง" ออกมาแสดงตัวโดยใส่เสื้อสีขาว แล้วบอกว่าเราไม่นิยมความรุนแรง จะทำอะไรก็ทำ อย่าทำความเดือดร้อนให้กับประชาชน
สีขาว = เป็นกลาง
ผมฟังแล้วก็แอบถอนใจและส่ายหน้า
ถ้าใส่เสื้อขาวแล้วทำให้นายกรัฐมนตรีและแกนนำพันธมิตรเลิก "ดื้อ" ได้
ผมใส่ให้ทั้งปีเลยเอ้า!
........................................................
หลายคนบอกว่า การเมืองไทยวันนี้แบ่งเป็นสองขั้วชัดเจน
จริงๆ แล้วผมว่ามีมากกว่านั้น
ลองทำแบบสอบถามทัศนคติโดยใช้ Likert scale ประมาณ 5 น่าจะพอดี
คำถามคือ "คุณเห็นด้วยหรือไม่ว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่มีประสิทธิภาพและควรวางมือ"
ในช่องแสดงความคิดเห็นก็มีตั้งแต่ เห็นด้วยมาก เห็นด้วย ปานกลาง ไม่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วยมากที่สุด
เชื่อสิครับว่ามีคนกามาให้ทุกช่อง
และ
เชื่อสิครับว่าถ้านับความถี่แล้วจะมีคนกาให้ช่อง "ปานกลาง" มากที่สุด
............................................................
โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่า "ความเป็นกลางทางการเมือง" กับ "การเพิกเฉยทางการเมือง" นั้นต่างกัน
แต่ในขณะเดียวกันก็ซ้อนทับกันอยู่
ใครบางคนอาจจะบอกว่าไม่เห็นด้วยกับฝ่ายไหนทั้งสิ้น ไม่สนใจว่าใครหรือฝ่ายไหนจะทำอะไร
ขออย่างเดียว...อย่ามาทำให้ฉันเดือดร้อนเป็นพอ
ผมเองนั้นเป็นประเภทที่ไม่ได้เห็นด้วยกับพันธมิตรฯไปซะทุกอย่าง แต่ก็ไม่ได้เห็นดีเห็นงามไปกับรัฐบาลเหมือนกัน
ผมยอมรับว่าการเกิดขึ้นและดำรงอยู่ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในช่วง 100 วันทีผ่านมานั้นมี "คุณูปการ" บางอย่างต่อสังคมไทย
แต่ "วิธีการ" ที่พันธมิตรเลือกใช้ในช่วงหลังๆ นั้นก็ดูจะเกินเลยไปมาก
เวลาเราแก้ปัญหาทางวิศวกรรมนั้น "วิธีการ" ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
เพราะ "วิธีการ" ที่ผิด ย่อมนำไปสู่ "ผลลัพธ์" ที่ผิดเสมอ
และท่ามกลางความขัดแย้งรุนแรงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
ผลลัพธ์ที่พันธมิตรฯ ตั้งใจให้เป็นเมื่อแรกเริ่มขับเคลื่อนการชุมนุม
กับผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นในท้ายที่สุด
คงต่างกัน
แต่ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร
ผมมั่นใจว่าสังคมประชาธิปไตยของเราจะเติบโตขึ้น
แม้ว่าการเติบโตนั้นจะเจ็บปวดบ้างก็ตาม
แม้จะมีแต่คนบอกว่า "ดูข่าวการเมืองแล้วเครียด...อย่าไปดูมันเลย" แต่ผมก็ใช้เวลาส่วนหนึ่งของวันคอยติดตามสถานการณ์ของกลุ่มการเมืองทั้งในและนอกรัฐสภา
เครียดน่ะ...ก็ใช่อยู่
แต่จะให้ไม่สนใจเลยเนี่ยมันผิดวิสัยอดีต Activist นะครับ
.........................................................................
ไม่รู้เคยเขียนบอกไปหรือยังว่าผมเป็นคนหนึ่งที่ "ไม่รับ" ร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 นะครับ
อ่านแล้วและ "คิดแล้ว" ว่า "ไม่รับ"
เหตุผลสำคัญประการหนึ่งนอกเหนือจากเหตุผลหลักที่ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้มาจากกระบอกปืนก็คือการระบุไว้ในมาตราหนึ่ง (ขออภัยที่จำไม่ได้) ว่า ข้าราชการ, เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือพนักงานของรัฐต้องมีความเป็นกลางทางการเมือง
ผมไม่เข้าใจว่า "ความเป็นกลางทางการเมือง" ตามเจตจำนงของรัฐธรรมนูญคืออะไร?
และผมก็ไม่แน่ใจด้วยว่าจะปฏิบัติตามได้?
..........................................................................
อาจารย์ท่านหนึ่งที่ผมรู้จักบ่น "พันธมิตรฯ" ให้ฟังว่าทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน
จะเดินทางไปไหนก็ไม่สะดวก มาหยุดเดินรถไฟ มาขัดขวางการเดินทางโดยเครื่องบินของนักท่องเที่ยวแบบนี้แย่มาก
ว่าแล้วแกก็บอกว่ากำลังเขียนโครงการสมานฉันท์ จะให้คนที่ "เป็นกลาง" ออกมาแสดงตัวโดยใส่เสื้อสีขาว แล้วบอกว่าเราไม่นิยมความรุนแรง จะทำอะไรก็ทำ อย่าทำความเดือดร้อนให้กับประชาชน
สีขาว = เป็นกลาง
ผมฟังแล้วก็แอบถอนใจและส่ายหน้า
ถ้าใส่เสื้อขาวแล้วทำให้นายกรัฐมนตรีและแกนนำพันธมิตรเลิก "ดื้อ" ได้
ผมใส่ให้ทั้งปีเลยเอ้า!
........................................................
หลายคนบอกว่า การเมืองไทยวันนี้แบ่งเป็นสองขั้วชัดเจน
จริงๆ แล้วผมว่ามีมากกว่านั้น
ลองทำแบบสอบถามทัศนคติโดยใช้ Likert scale ประมาณ 5 น่าจะพอดี
คำถามคือ "คุณเห็นด้วยหรือไม่ว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่มีประสิทธิภาพและควรวางมือ"
ในช่องแสดงความคิดเห็นก็มีตั้งแต่ เห็นด้วยมาก เห็นด้วย ปานกลาง ไม่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วยมากที่สุด
เชื่อสิครับว่ามีคนกามาให้ทุกช่อง
และ
เชื่อสิครับว่าถ้านับความถี่แล้วจะมีคนกาให้ช่อง "ปานกลาง" มากที่สุด
............................................................
โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่า "ความเป็นกลางทางการเมือง" กับ "การเพิกเฉยทางการเมือง" นั้นต่างกัน
แต่ในขณะเดียวกันก็ซ้อนทับกันอยู่
ใครบางคนอาจจะบอกว่าไม่เห็นด้วยกับฝ่ายไหนทั้งสิ้น ไม่สนใจว่าใครหรือฝ่ายไหนจะทำอะไร
ขออย่างเดียว...อย่ามาทำให้ฉันเดือดร้อนเป็นพอ
ผมเองนั้นเป็นประเภทที่ไม่ได้เห็นด้วยกับพันธมิตรฯไปซะทุกอย่าง แต่ก็ไม่ได้เห็นดีเห็นงามไปกับรัฐบาลเหมือนกัน
ผมยอมรับว่าการเกิดขึ้นและดำรงอยู่ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในช่วง 100 วันทีผ่านมานั้นมี "คุณูปการ" บางอย่างต่อสังคมไทย
แต่ "วิธีการ" ที่พันธมิตรเลือกใช้ในช่วงหลังๆ นั้นก็ดูจะเกินเลยไปมาก
เวลาเราแก้ปัญหาทางวิศวกรรมนั้น "วิธีการ" ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
เพราะ "วิธีการ" ที่ผิด ย่อมนำไปสู่ "ผลลัพธ์" ที่ผิดเสมอ
และท่ามกลางความขัดแย้งรุนแรงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
ผลลัพธ์ที่พันธมิตรฯ ตั้งใจให้เป็นเมื่อแรกเริ่มขับเคลื่อนการชุมนุม
กับผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นในท้ายที่สุด
คงต่างกัน
แต่ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร
ผมมั่นใจว่าสังคมประชาธิปไตยของเราจะเติบโตขึ้น
แม้ว่าการเติบโตนั้นจะเจ็บปวดบ้างก็ตาม
Labels: การเมือง