Sunday, September 30, 2007

 

วรรณกรรมทำให้ชีวิตละเมียดละไมขึ้น

สิ่งหนึ่งที่เป็นผลพลอยได้จากการย้ายบ้านคือการได้จัดเรียงหนังสือเข้าชั้น

ช่วงที่ย้ายจากกรุงเทพฯ มาสอนที่บ้านนอก โชคดีที่มีผู้อุปการะต่อชั้นวางหนังสือไว้ให้ผม 1 ตัวใหญ่ๆ

แถมยังมีตู้กระจกแบบสองชั้นอีกสองตู้ และชั้นวางหนังสือขนาด 4 ชั้นอีกสามอัน

...วางหนังสือที่ผมมีได้หมด "พอดี" เลย (จริงๆ ยังมีที่เหลืออีกนิดหน่อยในหมวดการเมืองและสังคมศาสตร์)

จากการกวาดสายตาดูคร่าวๆ ผมพบว่าตัวเองมีหนังสือในหมวด Business & Management มากที่สุด (รวมกันประมาณ 1 ตู้ครึ่ง) ในขณะที่รองลงมาเป็นพวกความเรียงทั่วไป (เช่น หนังสือของคุณสฤนี (fringer), คุณโตมร คุณโหน่ง a day ฯลฯ) และอันดับสามเป็นนิยายและวรรณกรรม

-------------------------------------------
การย้ายมาอยู่บ้านนอกทำให้ผมมีเวลามากขึ้น (เป็นอันมาก) จากที่เคยต้องใช้เวลาในการเดินทางกว่า 3-5 ชั่วโมงในแต่ละวัน ผมกลายเป็นผู้ชายที่อยู่ในสภาพพร้อมขึ้นเตียง (กล่าวคือ อาบน้ำ แปรงฟันและเปลี่ยนชุดนอนแล้วนั่นเอง...โปรดอย่าคิดเป็นอื่นไป) ตั้งแต่เวลา 19:30 น.

แปลภาษาทางการเป็นภาษาบ้านๆ คือ หนึ่งทุ่มครึ่งผมก็ไม่มีอะไรจะทำแล้ว!

เมื่อไม่มีอะไรจะทำผมก็เลยต้องหาอะไรทำ โดยเฉพาะเป็นอะไรที่ไม่ต้องใช้ทุนทรัพย์มากนัก เพราะรายได้ของคุณครูบ้านนอกก็เพียงพอสำหรับชีวิตที่พอเพียงอย่างยิ่งยวด

ว่าแล้วผมก็เลยหยิบนิยายเก่าๆ มาปัดฝุ่นอ่านกันใหม่เป็นรอบที่สอง ซึ่งก็ได้รับความบันเทิงไม่แพ้การอ่านรอบแรก แต่ที่ได้มากกว่าความบันเทิงคือผมรู้สึกว่าชีวิตมันละเมียดละไมขึ้น อาจเป็นเพราะการอ่านในรอบแรกนั้นผมมุ่งเน้นไปที่การ "อ่านเอาเรื่อง" เป็นหลัก ย่อหน้าไหนบรรยายความสวยงามของบรรยากาศตามท้องเรื่องหรือพร่ำเพ้อโศกาผมก็จะอ่านแบบ skim&scan ไปเรื่อยๆ

ผลของการอ่านวรรณกรรมแบบ fastfood ก็คือได้รู้เรื่องครับ แต่ขาดความอิ่มเอมในใจไปโข (อันนี้มารู้ก็ตอนอ่านรอบที่สองนี่แหละ) เหมือนกินอาหารแบบรีบกิน-รีบกลืนนั่นแหละครับ

มีคนเคยบอกว่าความสุขในการเดินทางไม่ได้อยู่ที่จุดหมายปลายทาง แต่อยู่ที่ระหว่างทางต่างหาก

ผมก็อยากจะบอกว่า ความสุขในการอ่านวรรณกรรมไม่ได้อยู่ที่การได้รู้เรื่องว่ามันจะจบอย่างไร? พระเอกจะได้ครอบครองหัวใจของนางเอกหรือไม่? ผู้ร้ายตายยังไง?

แต่มันอยู่ที่ได้ละเลียดไปกับอารมณ์ละเมียดที่แสนจะละไม ดื่มด่ำความสุขและความทุกข์ไปพร้อมๆ กับตัวละคร และปล่อยให้อักษรพาเราไปพบกับปลายของปมที่นักประพันธ์ได้ผูกไว้

ผมใช้ชีวิตที่รีบเร่งและลุกลนมานาน

ตอนนี้ผมกำลังหัดเดินให้ช้าลง..

และมีความสุขกับสิ่งรอบข้างให้มากขึ้น

Saturday, September 29, 2007

 

Natsima's Nostalgia

สงกรานต์ปี 2548 ผมนึกครึ้มอกครึ้มใจอะไรบางอย่าง เลยจัดแจงลงทะเบียนเปิด Yahoo! Groups สำหรับเพื่อนนักเรียนมัธยมรุ่นเดียวกัน อาศัยว่าเป็นประธานนักเรียนมาก่อนเลยพอจะมีความชอบธรรมเพียงพอที่จะสถาปนาตัวเองเป็น Moderator

ผ่านไปสองปีกว่าๆ เพื่อนผมก็เริ่มเข้ามาร่วมวงเสวนาฮาเฮกันทั้งสายวิทย์สายศิลป์นับได้ 84 คน

ยังดีที่ "หลวงเพื่อน" ซึ่งอยู่เพศบรรพชิตไม่มาฮาเฮด้วย

ไม่งั้นนอกจากสายวิทย์ สายศิลป์ แล้วเราอาจจะมีสายสิญจ์มาด้วย!
-------------------------------------------------------------

ด้วยความเป็น Moderator นี่เอง ทำให้ผมต้องรับบทบาทในการประกาศข่าวคราวเพื่อนฝูง ใครจะบวชหรือจะเบียด ก็ฝากข้าพเจ้านี่แหละป่าวประกาศให้

เดือนพฤศจิกายนนี้ พอดีว่ามีเพื่อนที่รู้จักกับผมมาตั้งแต่ชั้นประถมจะแต่งงาน 2 คู่ ผมเลยบรรจงเขียน Newsletter รำลึกความหลังและเชิญชวนเพื่อนๆ ไปร่วมงานพิธีมงคลสมรสดังกล่าว

..ปรากฏว่า Feedback ดีแฮะ! เพื่อนๆ หลายคนบอกว่าเขียน "ได้ใจ" ดีจริงๆ

ว่าแล้วก็เอามาแปะไว้ที่นี่ให้ชาวบ้าน (จริงๆ คือชาวโลก) ได้อ่านละกันครับ
----------------------------------------------------------

เท่าที่ทราบ..เพื่อนเราจะแต่งงานกัน 2 คู่ในเดือนพฤศจิกายนนี้ครับคู่แรกคือหนิง สาครินทร์ 603 กับขวัญชัย 601 เห็นประกาศไว้ใน MSN ว่าสละโสดวันที่ 22 พ.ย. 50 แต่งานเลี้ยงฉลองมงคลสมรสคือวันที่ 25 พ.ย. 50 ที่โรงแรมอิมพีเรียลแม่ปิง เชียงใหม่

จำขวัญชัยได้ไหมครับ?...ผมสรุปอดีตให้ฟังคร่าวๆ ละกัน

ดช.ขวัญชัย จบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นจากโรงเรียนอัสสัมชัญลำปาง จากนั้นจึงเดินทางมาศึกษาชั้นมัธยมปลายต่อที่โรงเรียนบุญวาทย์อย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก พูดง่ายๆ คือปีนั้นอัสสัมชัญเค้ายกเลิก ม.ปลายไปเฉยๆ (รู้สึกว่าอีกปีนึงก็กลับมาเปิดเหมือนเดิม..) เด็กอัสสัมชัญรุ่น "(โดน)ลอยแพกิ่วลม" ยุคนั้นก็จะมี เจ๊ดา 602หลวงพี่ตูน 605 นายช่างปัตย์ 604 ฯลฯ

ขวัญชัยเริ่มสร้างความโดดเด่นให้กับตัวเองในปี 2535 ที่ตนเข้ามาเรียนด้วยการเปิดเครื่องแฟกซ์ที่บ้านทิ้งไว้เพื่อรับข่าวสารในยุคพฤษภาทมิฬ (ถ้าจำได้ในยุคนั้นสื่อถูกปิดกั้นมาก) จากนั้นจึงนำมาถ่ายเอกสารและแอบเอามาแปะในโรงเรียน โดยมีข้าพเจ้าเป็นผู้ร่วมขบวนการ

แผนการนี้ดูจะไม่ประสบความสำเร็จนัก เพราะอธิบายมาถีงตรงนี้เพื่อนๆ คงนึกในใจว่า "กรูไม่เห็นจะรู้เลย"

ขวัญชัยจึงเริ่มแผนการสร้างความโดดเด่นให้ตัวเองต่อไปโดยทำการจอดรถปิคอัพคันเก่งไว้ที่บ้านแล้วถอย "จักรยาน" ใหม่เอี่ยมคันนึงสำหรับปั่นมาโรงเรียน โดยHe ภูมิใจนำเสนอกับผมและผองเพื่อนเหลือเกินว่าวัสดุที่มาประกอบเป็นจักรยานนั้นทำมาจากไทเทเนียมอัลลอยผสมซาสวรก่ไน่ว์สกราไนส์ อะไรซักอย่างที่เกินสติปัญญาของเด็กไทยวัยเกรียนอย่างผมในยามนั้นเป็นอย่างยิ่ง แต่เอาเหอะ...เพื่อเพื่อน ผมเลยพยักหน้าทำเป็นเข้าใจแบบสุดๆ

วันรุ่งขึ้นขวัญชัยเลยหอบแค็ตตาล็อกจักรยานมาคุยกับผมต่ออีก!

อย่างไรก็ตามแผนการนี้ดูจะประสบผลสำเร็จพอสมควร ซึ่งขวัญชัยคงจะคิดว่าเป็นเพราะจักรยานที่ผลิตจากวัสดุไฮโซคันนั้น แต่จริงๆ แล้วมันเป็นเพราะความแปลกของเจ้าของจักรยานมากกว่าลองคิดภาพเด็กผู้ชายหัวเกรียนตัวดำๆ คนนึงจูงจักรยานเข้ามาในโรงเรียนด้วยสภาพเหงื่อโทรมกายตอนใกล้ๆ 8 โมงเช้าดูสิครับโดดเด่นสมใจเขาล่ะ..และคงจะเป็นด้วยเหตุนี้เอง ที่ทำให้ขวัญชัยฝักใฝ่หลงไหลไปกับจักรยานอย่างยวดยิ่งจนสามารถบากบั่นฝึกฝนและประสบความสำเร็จในการแข่งขันจักรยานระดับชาติได้ในที่สุด

ปัจจุบันขวัญชัยจบการศึกษาระดับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และเปิดร้านขายจักรยานที่มีชื่อเสียงระดับประเทศอยู่ที่เชียงใหม่ครับส่วนฝั่งเจ้าสาว หนิง สาครินทร์ 603 นั้นคงต้องรบกวนเพื่อนๆ 603 มาเล่าให้เราฟังแล้วละครับ

อีกคู่นึงคือ "นุ่ย" นิติรัฐ สาลี 602 ครับ แต่งวันที่ 18 พ.ย.นี้ที่เชียงใหม่เหมือนกันถ้าใครจำนุ่ยไม่ได้..ผมจะเล่าประวัติคร่าวๆให้ฟังเด็กชายนิติรัฐ จบการศึกษาระดับประถมจากโรงเรียนอัสสัมชัญ (ป.6/1) แล้วมาศึกษาในโรงเรียนบุญวาทย์เมื่อปี 2532 โดยจบการศึกษาม.ต้นจากห้องม. 3/9

นุ่ยเป็นเด็กแถวหน้า....ผมเป็นเด็กหลังห้อง
นุ่ยเรียนเก่งโดยเฉพาะวิชาสังคม....ส่วนผมสอบสังคมได้ 9/30
นุ่ยลายมือสวย....ผมลายมือห่วย

พอย่างเข้าม.ปลาย นุ่ยก็ได้รับการคัดสรรให้ไปอยู่ในห้องม. 6/2อย่างไรก็ตามเราก็เจอกันบ้างประปรายตามสถานที่เรียนพิเศษต่างๆบางครั้งที่ว่างจากการเรียนพิเศษ เราก็มักจะไปนั่งพักที่บ้านนุ่ย

ในช่วงม.ปลายมีอยู่สองเรื่องเกี่ยวกับนุ่ยที่ผมจำได้แม่นยำ

เรื่องแรก - แมวที่บ้านนุ่ยตัวใหญ่มาก ตอนแรกที่เห็นผมนึกว่าใครเอามะละกอสีประหลาดมาวางไว้บนเก้าอี้

เรื่องที่สอง - นุ่ยมีความสามารถในการเคลียร์ H-Game ได้เร็วมาก ผมเคย copyเกม Knight of Sentra ไปให้นุ่ย ปรากฏว่านุ่ยสามารถเคลียร์ได้ภายในสองวัน ในขณะที่ผมต้องใช้ความพยายามอยู่ร่วม 10 กว่าวัน!

หลังจากจบม.ปลาย ผมกับนุ่ยก็ต้องมาเจอกันอีกที่คณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทีแรกเราเกือบจะได้เรียนเมเจอร์เดียวกันแล้ว แต่พอดีมีใครบางคนชวนผมไปเรียนเครื่องกล ส่วนนุ่ยก็เลือกวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ตามที่ตั้งใจไว้

4 ปีผ่านไป..นุ่ยจบแล้ว ผมยังไม่จบจากนั้น

เท่าที่รู้ นุ่ยเองก็ไปทำงานเป็น Great Teacher Nitirat อยู่ที่มงฟอร์ตพักนึง ก่อนจะขยับขยายมาทำงานที่ True

18 / 22 / 25 พฤศจิกายนนี้ ใครอยู่แถบลำปาง-เชียงใหม่ ถ้าสามารถไปร่วมงานได้ก็ขอเชิญครับ ส่วนใครที่ไม่สะดวก ก็รบกวนแสดงความยินดีได้ผ่านกระทู้นี้ครับหรือ ต้องการสอบถามรายละเอียดก็ถามผ่านที่นี่ได้เช่นกัน

This page is powered by Blogger. Isn't yours?