Saturday, January 09, 2010

 

10 แนวคิดธุรกิจมาแรงในปี 2010 (ตอนที่ 1)

(หมายเหตุ - บทความนี้่เรียบเรียงจาก "Top 10 business ideas for 2010" โดย springwise.com)

1. ธุรกิจผลิตอาหารขนาดเล็กแบบมีระบบสมาชิก (Small Scale food production using membership model) - หน้าที่หลักของธุรกิจนี้การทำอาหารหรือขนมเพื่อส่งให้ักับร้านค้าที่เป็นสมาชิก เช่น ร้านกาแฟเล็กๆ หรือ ร้านไอศกรีม ข้อได้เปรียบของธุรกิจประเภทนี้คือการลงทุนที่น้อยเพราะทำให้สเกลเล็ก และการรับประกันรายได้ที่แน่นอนเนื่องจากการใช้ระบบสมาชิก (จริงๆ นัทสิมาว่ามันก็คล้ายกับระบบอาหารปิ่นโตบ้านเรานะ)

2. สื่อโฆษณาที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย (Low impact advertising) - ปฏิเสธไม่ได้ว่าในแต่ละปีมีการใช้เงินมหาศาลเพื่อจัดทำสื่อโฆษณาในหลากหลายรูปแบบ ซึ่งแ่ต่ละแบบนั้นล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบไม่มากก็น้อยต่อสิ่งแวดล้อม แต่ในธุรกิจของ Curb ไม่ใช่แบบนั้น ! งานสื่อแต่ละชิ้นของบริษัทนี้ล้วนแล้วแต่ใช้วัสดุธรรมชาติ (จริงๆ) เช่น ฝุ่นบนทางเท้า (Clean advertising) , ทรายบนหาดทราย (Sand sculpture), หญ้าในสนามหญ้า(Logrow) หรือแม้กระทั่งเชื้อรา (Glowfungi)!










3. ธุรกิจเกี่ยวกับอุปกรณ์ติดตามสุขภาพ (Health tracking device) - ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วทำให้การติดตามสุขภาพเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายขึ้นอย่างมาก เช่น สายคาดผมไวร์เลสที่ช่วยติดตามรูปแบบการนอนหลับและส่งข้อมูลไปประมวลผลยังคอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่อุปกรณ์ไฮเทคที่ใช้สวมใส่เพื่อติดตามพฤติกรรมที่เกี่ยวกับสุขภาพของผู้ป่วยซึ่งแต่ก่อนนั้นจะทราบได้ก็ต่อเมื่อต้องไปเข้าเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ทางแพทย์ที่มีขนาดใหญ่โต ข่าวดีคืออุปกรณ์ติดตามสุขภาพเหล่านี้ยังไม่เป็นที่แพร่หลายนัก นั่นหมายความว่ามีโอกาสมากหากใครคิดจะร่วมธุรกิจกับบริษัทผู้ผลิตในฐานะของผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย

4. ร้านค้าั "ตัวอย่าง" (Sample stores,cafes and vending machines) - แนวคิดนี้มาจากเทรนด์ที่มีชื่อว่า "tryvertising" ซึ่งเป็นเทรนด์ในการโฆษณาสินค้าโดยการแจก free sample ให้เอาไปทดลองใช้กันดูก่อน ทีนี้จากเทรนด์ดังกล่าว เราก็จะพบว่ามีคนมายืนแจก free sample มากมายก่ายกอง เอาไปก็ได้ใช้บ้างไม่ได้ใช้บ้าง ใช้แล้วชอบหรือไม่ชอบก็ไม่รู้จะบอกกับใคร ปัญหาทั้งหมดที่กล่าวมาแก้ได้ด้วย Sample store นี่แหละ! เพราะที่ร้านค้า"ตัวอย่าง" นี้จะรวบรวม free sample มาไว้ในร้านแล้วสนนราคาเพียง 5 ยูโรต่อสินค้า 5 ชิ้นที่คุณสามารถเืลือกเอาเองได้ตามใจชอบโดยไม่ต้องจ่ายเพิ่มและไม่ต้องตอบแบบสอบถามยาวเหยียด เพียงแค่แจ้งเหตุผลที่คุณเลือก free sample นั้นๆ ที่แคชเชียร์ ใครที่สนใจคงต้องบินไปจับจ่ายกันที่สหรัฐอเมริกา,สเปน และญีุ่ปุ่น

5. กระเบื้องหลังคาโซลาร์เซลล์ และกังหันลมปั่นไฟแบบติดตั้งบนหลังคา - ด้วยกระแสอนุรักษ์ธรรมชาติเพื่อแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังมาแรง เจ้าของบ้านหลายคน (ในยุโรป) ต่างก็มีความฝันที่จะใช้พลังงานแสงอาิทิตย์หรือพลังงานลมในบ้านของตน แต่การจะซื้อแผงโซลาร์เซลล์ขนาดใหญ่หรือกังหันลมผลิตไฟฟ้าตัวโตมาติดไว้ที่บ้านก็ดูจะเป็นอะไรที่ทำได้ยากทั้งในแง่ของพื้นที่ใช้สอยและความงดงามทางสถาปัตยกรรมของบ้านที่ต้องเสียไป แต่เดี๋ยวก่อน!...จากนี้ไปคุณเจ้าของบ้านนักอนุรักษ์ทั้งหลายจะไม่ต้องคับข้องใจอีกต่อไปด้วยนวัตกรรมกระเบื้องมุงหลังคาที่เป็นโซลาร์เซลล์ในตัว และระบบกังหันลมเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าที่ใช้ใบพัดในแนวนอนทำให้สามารถซ่อนอยู่ภายใต้กระเบี้องหลังคาได้อย่างแนบเนียน โอกาสทางธุรกิจที่ใช้กระแสรักโลกแบบนี้จึงมีทั้งการออกแบบอุปกรณ์ประเภทนี้ในแบบอื่นๆ หรือแม้แต่การร่วมธุรกิจเป็นตัวแทนจำหน่ายกระเบี้องหรือกังหันลมดังกล่าว

(โปรดติดตามตอนต่อไป)


Labels: , , ,


Monday, January 04, 2010

 

Patent for Microorganism: สิทธิบัตรสำหรับจุลชีพ

วันนี้อาจารย์ภาควิชาจุลชีววิทยาสอบถามนัทสิมาเกี่ยวกับการจดสิทธิบัตรของเชื้อ (Microorganism) ชนิดหนึ่งซึ่งท่านได้ใช้ความพยายามกว่า 1 ปีในการเพาะเชื้อนี้ขึ้นมา

จากการรื้อค้น (มิใช่สืบค้น..แต่เป็นการรื้อค้นเอกสารที่เคยไปร่ำเรียนมา) นัทสิมาพบว่าเราไม่สามารถจดสิทธิบัตรเพื่อแสดงความเป็น"เจ้าเข้าเจ้าของ" ของสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติได้ (พรบ.สิทธิบัตร พ.ศ. 2522)

จุลชีพหรือเชื้อใดๆ นั้นถือว่ามีอยู่เองตามธรรมชาติ แน่นอนว่าเราอาจเป็นคนแรกที่พบเจอมันเข้า แต่อย่างไรก็ดีเราก็มิอาจปฏิเสธได้ว่ามันมีของมันอยู่อย่างนั้นมาเนิ่นนานแล้ว เราเพียงแค่ไปเจอ--ไม่ได้เป็นผู้สร้าง

กล่าวโดยสรุปคือ จุลชีพที่เราเพาะได้ (แม้ว่าคนอื่นจะเพาะไม่ได้) ไม่สามารถนำไปจดสิทธิบัตรได้นะครับ

ปล. แต่เราสามารถอ้างสิทธิใน "กระบวนการเพาะเชื้อ" หรือแม้แต่ "กระบวนการเตรียมเชื้อเพื่อนำไปผลิต xxx" ได้นะจ๊ะ

Labels: ,


Sunday, January 03, 2010

 

Now reading: ตะวันออก-ตะวันตก...ใครสร้างโลกสมัยใหม่

นัทสิมาเป็น "แฟน" ของ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ มาตั้งแต่ได้อ่าน "สองนคราประชาธิปไตย" ซึ่งซื้อมาตั้งแต่พิมพ์ครั้งที่สอง (2546) จากนั้นก็อ่าน "ประชาสัีงคม" และ "พิศการเืมือง" ตามลำดับ

มิหนำซ้ำในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปีพ.ศ. 2548 นัื่ทสิมาก็เลือกพรรคมหาชนในระบบปาร์ตี้ลิสต์อีกต่างหาก!

ด้วยเหตุนี้ในช่วงปลายปีที่่ผ่านมาพอเิดินผ่านร้านหนังสือแล้วเห็นชื่อผู้แต่งปุ๊บ..นัทสิมาก็หยิบปั๊บ (โดยไม่ลืมที่จะจ่ายเงินค่าหนังสืออ่ะนะ -*-)
--------------------------------------------------------------------------------
ดร.เอนก มาคราวนี้เปลี่ยนแนวจากงานเขียนด้านรัฐศาสตร์มาเป็นงานเขียนกึ่งประวัติศาสตร์-รัฐศาสตร์-เศรษฐศาสตร์ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อล้มล้าง (?) ความเชื่อที่ว่า "ฝรั่งตะวันตกเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงของโลก" โดยตะวันออกนั้นล้าหลัง ป่าเถื่อน ไร้อารยธรรม จวบจนประเทศตะวันตกล่องเรือมาเจอจึงได้ถ่ายทอดสิ่งต่างๆ ให้กับ "ทรราชย์แห่งบูรพาทิศ" ผ่านหมอสอนศาสนา ผ่านการล่าอาณานิคม ฯลฯ

ผู้เขียน(ดร.เอนก) ใช้หลักฐานทางประวัติศาสตร์โดยอ้างอิงงานวิชาการของ A.G.Frank และ J.M.Hobson บวกด้วยประสบการณ์การเิดินทางไปยังประเทศตะวันออกหลายๆ ประเทศ เพื่อสรุปว่าสิ่งที่เรา "เคยเชื่อ" ว่าฝรั่งตะวันตกเป็นผู้คิดค้นนั้น ที่แท้มาจากประเทศตะวันออกอย่างจีน อินเดีย หรือแม้แต่คาซัคสถานและอิหร่าน! ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่น่าตกใจก็เช่น

- โลกอิสลามเป็นต้นกำเนิดที่แท้จริงของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ตั้งแต่ คศ.500
- การปฏิวัติอุตสาหกรรมเกิดขึ้นที่ประเทศจีน ไม่ใช่อังกฤษ!
- จีนมีกองเรือที่ดีที่สุดในโลก และมีหลักฐานว่าเป็นผู้ค้นพบทวีปอเิมริการวมทั้งออสเตรเลีย
- ระบบศักดินายุโรปและระบบศาสนจักร มีต้นกำเนิดมาจากโลกตะวันออก
ฯลฯ

นอกจากนี้ผู้เขียนยังได้สรุปไว้ว่าการเกิดขี้นของกระแส "จีนภิวัฒน์" รวมทั้ง "CHINDIA" นั้น ไม่ใช่การอุบัติใหม่แต่อย่างใด แต่เป็น "การกลับมา" ของประเทศมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ในอดีตจวบจนศตวรรษที่ 19 จึงเพลี่ยงพล้ำให้แก่ตะวันตก

--------------------------------------------------------------------
ณ วันที่เขียนบล็อกนี้นัทสิมาก็ยังอ่านหนังสือเล่มนี้ไม่จบ แต่เพียงแค่ครึ่งเล่มก็ทำให้ตระหนัักชัดว่าเราถูก "ครอบ" ด้วยข้อเท็จจริงที่ bias ไปทางตะวันตกมานาน

สรุปว่า แนะนำให้เป็นหนังสืออ่านนอกเวลา (งาน) เล่มแรกสำหรับปี 2553 ครับ!




Saturday, January 02, 2010

 

สวัสดีปีใหม่ และเป้าหมายประจำปี

สวัสดีปีใหม่ทุกท่านที่ยังตามอ่าน blog ที่ไม่ค่อยอัพแห่งนี้

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านและครอบครัวคงประสบแต่ความสุขสวัสดิ์ตลอดปี 2553 นี้

------------------------------------------------------------------

เมื่อต้นปีก่อนนัทสิมาได้สรุปผลการดำเนินชีวิตประจำปี 2551 เอาไว้ ซึ่งผลเป็นไปอย่างไม่น่าพอใจ (บรรลุเป้าหมายเพียง 23.8% จากทั้งหมด) ทำเอาท้อใจและไม่อยากจะตั้งเป้าอะไรให้กับชีวิตมากมายนัก

พอมานั่งนึกย้อนดูก็พบว่าปีที่ผ่านมาเปรียบเสมือนปีแห่งการไม่มีจุดหมาย ถ้ายกเอาคำท่านปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์มาก็ต้องบอกว่าปีที่แล้วนัทสิมาใช้ชีวิตคล้ายๆ จะเป็น "สวะลอยน้ำ" (อูยย..แรงนะเนี่ย)

ปีนี้เลยเอาใหม่...ตั้งเป้าหมายเอาไว้แต่ไม่มากมายและบ้าพลังเฉกเช่นในอดีต ให้ความสำคัญกับการมีเป้าหมายในชีวิต แต่มิใช่การมุ่งแต่จะบรรลุเป้าหมายโดยละเลยสุนทรียะแห่งการใช้ชีวิต

ดังนั้น เป้าหมายในปี 2553 จึงเน้นในด้านงานวิชาการเป็นสำคัญ ส่วนประกอบอื่นๆ ในชีวิตนั้นก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ

-----------------------------------------------------------------

เป้าหมายด้านวิชาการ ประจำปี 2553
1. เรียนจบ PhD ให้ได้ภายในเดือนมีนาคม 2553
2. ได้รับทุนไปทำวิจัยที่ Austria ระหว่างเดือนเมษายน - พฤษภาคม 2553
3. ได้รับทุนวิจัยรวมกันตลอดทั้งปีไม่น้อยกว่า 1,000,000 บาท
4. มีผลงานตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติไม่น้อยกว่า 2 เรื่องภายในเดือนมิถุนายน 2553
5. ได้รับการตอบรับให้ไปนำเสนอผลงานวิชาการที่เมืองปูซาน ประเทศเกาหลี
6. จดสิทธิบัตร/อนุสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ของตัวเองให้ได้ 1 รายการขึ้นไป
7. มีตำราและเอกสารประกอบการสอนฉบับสมบูรณ์อย่างละ 1 เล่ม
8. มีชั่วโมงบริการวิชาการชุมชนมากกว่า 365 ชั่วโมง

เป้าหมายของ Lab (หมายเหตุ- นัทสิมารักษาการ Lab Manager ของมหาวิทยาลัยอยู่)
1. มีรายรับจากการให้บริการตรวจวิเคราะห์มากกว่า 500,000 บาทภายในเดือนตุลาคม 2553
2. ลดเวลาในการตรวจวิเคราะห์ทุกไอเท็มรวมถึงการทำรายงานผลการตรวจให้แล้วเสร็จภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันที่รับชิ้นงานตัวอย่าง

เป้าหมายด้านคุณภาพชีวิต
1. ขูดหินปูน/ตรวจสุขภาพฟันให้ได้ปีละ 2 ครั้ง
2.ผลการตรวจสุขภาพประจำปีอยู่ในเกณฑ์ปกติทุกรายการ
3. กลับบ้านไม่เกิน 18:00 น. ไม่น้อยกว่า 20 วันต่อเดือน

-------------------------------------------------
ในการนี้จะมีการติดตามความคืบหน้าของการดำเนินชีวิตในทุกไตรมาส เพื่อดูแนวโน้มและความเป็นไปได้ในการบรรลุเป้าหมายของชีวิต

ปล. อ่าน blog ของพี่บิ๊กบุญ แห่งสำนักพิมพ์ a book ..พี่แกบอกว่าการอัพบล็อกทุกวันเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยาก เพียงแต่ต้องตั้ง theme และรักษาพลังพอสมควร (ไม่ปล่อยพลังซะหมดในการอัพคราวเดียว) ปีหน้าจะพยายามอัพบล็อกให้ได้สัปดาห์ละครั้งนะครับ

Labels:


This page is powered by Blogger. Isn't yours?